เฟิ่งหมิงซีตกตะลึงจนเหงื่อผุด นี่มันเกินจริงไปแล้ว ไม่ค่อยสมจริงสักเท่าไหร่เลย
เพื่อพิสูจน์ความคิดของตน เฟิ่งหมิงซีจึงหลับตาลง แล้วภาวนาขึ้นในใจ :เข็มเงิน!
ทันใดกำไลห้วงเวลาบนข้อมือนั้นก็ปรากฏเข็มเงินหนึ่งชุดออกมาให้
เฟิ่งหมิงซีลืมตาขึ้น แล้วภาวนาอีกครั้งขอมีดผ่าตัด ยาลดรอยแผลเป็น
ของแต่ละสิ่งล้วนส่งออกมาจากกำไลห้วงเวลาให้นาง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของในห้องทดลองของนางทั้งสิ้น
เฟิ่งหมิงซีคว้าเอาไว้ ล้วนเป็นของจริงทั้งนั้น ยารักษาก็เป็นตัวยาของจริง
ยารักษาก็กำลังต้องการนำไปถอนพิษอยู่พอดี
เฟิ่งหมิงซีนึกตื่นเต้นขึ้นในใจ คิดว่ากำไลห้วงเวลานี้สามารถส่งสิ่งของต่างๆ มาให้ได้ งั้นนางรับรองเลยว่าทรัพย์สินมีค่าต่างๆ ที่เก็บซ่อนไว้ในตู้ก็คงส่งมาได้เช่นเดียวกันสินะ?
บัดนี้นางกำลังขาดแคลนเงิน
ฉะนั้นนางจึงภาวนาขึ้นว่า: เงินทองของมีค่า
“……”
ภาวนากว่าสิบรอบก็หาได้ปรากฏของมีค่าใดๆ ออกมา
เฟิ่งหมิงซีผิดหวังหน่อยๆ ดูท่ากำไลห้วงเวลาวงนี้คงจะสามารถส่งมาให้ได้แค่ยารักษากับเครื่องมือหมอเท่านั้นกระมัง
ทว่านางได้มาแค่นี้ก็ดีมากแล้ว นางควรจะพอใจได้เสียที
เฟิ่งหมิงซีพยุงร่างกายอันอ่อนแรงลุกขึ้น แล้วเดินไปตรงกระจกแต่งหน้า หยิบเอายากับเครื่องมือรักษาออกมาจากกำไล ก่อนจะจัดวางไว้บนโต๊ะ
มีตัวยาเหล่านี้ ก็สามารถปรุงยาฟื้นฟูลมปราณขึ้นสักเม็ดไม่ยากแล้ว
ยาลดรอยแผลเป็นกับยาฟื้นฟูลมปราณต่างก็ได้ผลดีทั้งนั้น
หลังจากถอนพิษแล้ว ก็นอนกอดหมอน พลันรู้สึกง่วงงัวเงีย
แต่ในขณะเดียวกันนั้น ซวงสี่ก็พลันส่งเสียงร้องหวาดกลัวตกใจขึ้นมาจากด้านนอก “ท่านอ๋อง จวิ้นจู่นางได้พักผ่อนไปแล้วเจ้าค่ะ”
ซวงสี่หวาดกลัวมากจริงๆ ว่าเลี่ยอ๋องจะมาสังหารจวิ้นจู่ของนาง
มู่หรงเซียวน้ำเสียงเย็นชาเสียดกระดูก “ไสหัวไป! เรียกนางออกมาบัดเดี๋ยวนี้”
เฟิ่งหมิงซีรีบกระเด็นตัวขึ้นมาจากเตียง ลูบคลำดูแผลเป็นที่กำลังจางลงบนใบหน้า หยิบหน้ากากหนึ่งอันขึ้นมาใส่ ส่องกระจกดูแวบหนึ่ง แล้วกระตุกมุมปากยิ้มขึ้นอย่างเย็นเฉียบ เดินไปที่ประตูห้องแล้วเคาะที่แผงประตู
ซวงสี่พลันเข้าใจความหมาย แล้วจึงทูลเอ่ย “ท่านอ๋อง จวิ้นจู่บอกว่า นี่ดึกมากแล้ว ท่านอ่อนเพลียมากแล้ว ไม่สะดวกพบแขกเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินความนี้ มู่หรงเซียวจึงเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “นางเป็นใบ้มิใช่หรือ?!”
ซวงสี่ร่ำไห้ขึ้นพลัน แล้วเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ท่านอ๋อง สามปีที่แล้วจวิ้นจู่นางก็ถูกคนวางยาใบ้ ทำลายรูปโฉม ทั้งยังทำลายวรยุทธ์อีก”
มู่หรงเซียว:“.......”
เรื่องเหล่านี้เขาล้วนไม่เคยรับรู้มาก่อน
มิน่าล่ะเมื่อคราที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่แสดงออกว่าเจ็บปวดสาหัสถึงเพียงนั้นทว่านางกลับหาได้ส่งเสียงครวญครางเลยแม้แต่น้อย
เมื่อนึกถึงสภาพที่เฟิ่งหมิงซีคว้าแขนของเขาไว้ด้วยความหวาดกังวล
มู่หรงเซียวก็เผยร่องรอยความเย็นชาขึ้นที่ใต้ตา “นั่นเป็นสิ่งที่นางสมควรได้รับแล้ว!”
เมื่อกาลก่อนใครใช้ให้นางหยิ่งยโสโอหังถึงเพียงนั้นเล่า ทั้งยังจิตใจชั่วร้ายอีก อาศัยฐานะจวิ้นจู่แห่งจวนเฟิ่งอ๋องของตนเที่ยวรังแกระรานผู้อ่อนแอไปทั่ว
ยังกล้าดียังไงมาแต่งกับเขาอีก!
จวนเฟิ่งอ๋องถูกเนรเทศเพียงชั่วข้ามคืน เมื่อครั้นสูญเสียเกราะกำบังไป ภายหลังเหล่าคนที่เคยมีความแค้นกับนางก็ย่อมต้องแอบมาชำระแค้นนาง
เมื่อนึกถึงใบหน้าอันอัปลักษณ์ที่เต็มไปด้วยกรีดบาดของนางนั้น มู่หรงเซียวก็พลันเผยความรู้สึกขยะแขยงขึ้นที่ใต้ตา ก่อนจะตะคอกขึ้นอย่างเย็นชา “เฟิ่งหมิงซีข้ามาตักเตือนเจ้าเอาไว้ วันพรุ่งเป็นวันเฉลิมฉลองวันประสูติของไท่ว่างหวง เจ้าไว้หน้าข้าด้วย ห้ามก้าวออกจากเรือนซิงเยว่แม้แต่ก้าวเดียวเป็นอันขาด”
เจ้าใคร่ห้ามข้าก็ห้ามได้ตามใจเลยงั้นรึ?
เฟิ่งหมิงซีดึงดันจะออกไป พอถึงครานั้นก็จะหย่าร้างกับชายใจโหดผู้นี้
ในห้องไร้ซุ่มเสียงใดๆ มู่หรงเซียวหมดความอดทน จึงก้าวเท้าเข้าไป พลันผลักประตูเปิดออก
ซวงสี่อยากจะหยุดรั้งเขาเอาไว้แต่ก็มิกล้า
เฟิ่งหมิงซีที่กำลังมองลอดผ่านช่องประตูดูอยู่ ครั้นเห็นชายหนุ่มกำลังก้าวมา ก็พลันถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวให้เขาเข้ามา
ยังมิทันได้ดูชัดๆ เลยว่าชายหนุ่มผู้นี้มีหน้าตาเป็นอย่างไรกัน
เมื่อตอนข้ามมิติมานั้นสับสนวุ่นวายเกินไป จึงมิทันได้ดูรูปลักษณ์ของชายหนุ่ม
ครั้นมู่หรงเซียวเข้ามา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สักวารัก อาบแผ่นดิน
อยากให้ทางทีมงานอัพเดทต่อไปนะคะ♥️...
รอการอัพเดทอยู่นะคะ...
แอดลงต่อได้ไหมค่ะ...
ดรื่องนี้ต่อเถอะ เรื่องที่แอดลงมีแต่สนุกๆทั้งนั้น...