สักวารัก อาบแผ่นดิน นิยาย บท 3

ซวงสี่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนแล้วเอ่ยขึ้น “จวิ้นจู่ ท่านถูกทำลายวรยุทธ์จนหมดสิ้นแล้วนะเจ้าคะ ท่านใช้วิชาตัวเบามิได้แล้ว หากเรามิรอดโพรงสุนัขก็คงไม่มีทางออกไปได้นะเจ้าคะ”

เฟิ่งหมิงซีเงยมองสันกำแพงอันสูงชันนั่น เพียงใช้วิชาตัวเบาก็สามารถข้ามออกไปได้ บัดนี้นางรักษาเส้นลมปราณจนฟื้นฟูดีแล้ว วิชายุทธ์ก็ย่อมฟื้นตัวแล้วเช่นกัน

เพียงแต่ว่ายังไม่เคยได้ลองใช้วิชายุทธ์ของคนยุคโบราณนี้ดูเลยสักที

เฟิ่งหมิงซีชำเลืองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ พบว่าในมุมมืดมิมีผู้ใดจับตาเห็น มีเพียงแค่สาวใช้คนที่เฝ้าดูอยู่หน้าประตูเท่านั้น

มู่หรงเซียวช่างสบประมาทนางเกินไปแล้ว!

เฟิ่งหมิงซีกระตุกมุมปากยิ้มเย็นชา แอบลองฝึกดูอยู่ลับๆ ครู่หนึ่ง วิชาตัวเบาเพียงกระโดดหนึ่งทีก็ก้าวขึ้นไปอยู่บนสันกำแพงสูงได้แล้ว

ซวงสี่พลันอึ้งตะลึงขึ้น แล้วรีบอุดปากที่เกือบจะส่งเสียงกรีดร้อง มองเฟิ่งหมิงซีกระโดดข้ามกำแพงอย่างแผ่วเพียงลงมาราวเทพเซียนด้วยความตื่นเต้นใจ แล้วพลันรีบวิ่งเข้าไป “จวิ้นจู่ วรยุทธ์ท่านก็ฟื้นคืนแล้วหรือเจ้าคะ?”

เฟิ่งหมิงซีเผยยิ้มเอ่ยตอบ “ใช่แล้ว ข้าพบยาล้างไขกระดูกในกล่องน่ะ กินยาอายุวัฒนะนั่นเข้าไปก็ไม่เป็นไรแล้ว”

ซวงสี่หาได้รู้ว่าเจ้าของร่างเดิมได้จ่ายเงินซื้อยาอายุวัฒนะ ยาแผ่นไปมากน้อยแค่ไหน

พอได้ฟังความนี้ก็นึกว่าเป็นความจริง จึงพลันตื่นเต้นใจเสียจนน้ำตาร่วง “เช่นนั้นก็ดียิ่งนักเลยเจ้าค่ะ”

นางหนูน้อยนี่ช่างทั้งไร้เดียงสา ทั้งน่าเอ็นดูเสียจริง!

“อืม งั้นพวกเราไปกันเถิด” เฟิ่งหมิ่งซีหลิ่วดวงตาทรงกลีบดอกท้อลงยิ้มอย่างมีเลศนัย โอบกอดที่เอวของนางหนูน้อยแล้วพาข้ามสันกำแพงสูงไปอย่างสบายสบาย

ครั้นพอถึงข้างนอก สองนายบ่าวก็โผล่หัวออกมาจากกำแพงสีเทา มองดูชายหญิงคู่ที่อยู่หน้าประตูจวนอ๋อง

“เสด็จพี่เจ็ด”

สาวน้อยผู้หนึ่งปรากฏตัวลงจากรถม้า แต่งกายด้วยชุดโบราณสีชมพู จัดแต่งมวยผมทรงงูเลื้อย ล้อมประดับด้วยไข่มุกมรกต มองเห็นรูปร่างหน้าตาไม่ชัดเจน แต่ได้ยินมาว่าคุณหนูแห่งจวนจิ้งโหวนั้นเป็นสาวงามจัดเป็นอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ก็คงจักไม่อัปลักษณ์สักเท่าไหร่หรอกกระมัง มิเช่นนั้น ก็คงไม่มีทางทำมู่หรงเซียวผู้นี้หลงเสน่ห์ได้หรอก

เสิ่นชิวเยว่ร้องเรียกขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล“เสด็จพี่เจ็ด เมื่อคืนวานท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ จริงๆ ข้าควรจะอยู่เป็นเพื่อนท่าน แต่ท่านแม่บอกว่ามันค่ำแล้ว เป็นสาวเป็นนางต้องรีบกลับห้องกลับเรือน”

มู่หรงเซียวยังคงสวมใส่ชุดสีดำดังเดิม เขายืนหันหลัง จึงมองสีหน้าเขาไม่ออก ได้ยินเพียงเขาเอ่ยขึ้นว่า “ตระกูลเสิ่นนั้นสั่งสอนเข้มงวด ข้าเข้าใจได้ เวลาใกล้จะสายแล้ว พวกเรารีบเข้าวังหลวงกันเถิด!”

เขาไม่ต้องการเอ่ยถึงเฟิ่งหมิงซี

แต่เสิ่นชิวเยว่กลับใคร่รู้นักว่าหลังจากที่เขาจับนางได้นั้น ขังไว้อย่างไรบ้างที่เรือนซิงเยว่

เมื่อวานจวนอ๋องจัดงานเลี้ยงฉลอง ทว่าเลี่ยหวางเฟยกลับลอบคบชู้ที่หลังสวน ถูกเลี่ยอ๋องจับได้คาหนังคาเขา คาดว่ามู่หรงเซียวคงจักต้องเกรี้ยวโกรธสังหารเฟิ่งหมิงซีคาที่เป็นแน่

แต่สุดท้ายกลับมีแค่บ่าวใช้นั่นถูกฆ่าตายแต่เพียงผู้เดียว

เสิ่นชิวเยว่ฉายแววตาเย็นชาอารมณ์ไม่สมดั่งใจยิ่งนัก ทว่าก็มิอาจเอ่ยท้าวความอันใดได้มาก ด้วยเกรงจะถูกสงสัย

“ได้สิเจ้าคะ เสด็จพี่เจ็ด งั้นข้าขอนั่งรถม้าไปกับท่านได้หรือไม่เจ้าคะ?”

เสิ่นชิวเยว่มองดูรถม้าที่จอดอยู่หน้าจวนเลี่ยอ๋องนั้นก็รีบอยากกระโดดขึ้นไปนั่งเสียไม่ไหว อย่างไรเสียพวกเขาก็จะพากันเข้าวังหลวงไปทูลขอพระบัญชาประทานสมรส เข้าวังหลวงด้วยกันไปอย่างสง่าผ่าเผยเช่นนี้คงจะมิเป็นอันใดกระมัง

มู่หรงเซียวก็เห็นด้วยเช่นนี้เหมือนกัน ฉะนั้นจึงมิได้คัดค้านอันใดขึ้น

เฟิ่งหมิงซีมองดูแล้วนึกกระหยิ่มขึ้นในใจ แล้วจึงพาคนแอบเข้าวังหลวงไปเงียบๆ

รอบๆ วังหลวง เต็มไปด้วยต้นไม้เก่าแก่สูงตระหง่าน เขียวระรื่นเป็นร่มเงา กำแพงแดงกระเบื้องทอง แลดูมั่งคั่งสง่างาม

ภายในโถงพระโรงของพระราชวังชิงหัว มีการจัดร้องเล่นเต้นรำ กวัดแกว่งแขนเสื้อ ตีกลองฆ้องระฆัง เสียงดนตรีฟังดูเสนาะใจ

วันครบรอบวันประสูติของไท่ว่างหวงนั้น มีการจัดเฉลิมฉลองขึ้นอย่างยิ่งใหญ่

ครั้นพองานเฉลิมฉลองได้เริ่มขึ้น เหล่าขุนนางอำมาตย์และองค์หญิงองค์ชายทั้งหลายต่างพากันส่งมอบของขวัญเสร็จ

ทางจวนจิ้งโหว เสิ่นชิงเยว่ก็ลุกขึ้นมาร่ายรำหนึ่งบทเพลง ทั้งยังขอให้เลี่ยอ๋องบรรเลงฉินคลอเคล้าให้นาง

พอคนงามเอ่ยปากขอ เลี่ยอ๋องผู้ยโสเย็นชาก็หาได้ปฏิเสธใดๆ

พอเต้นรำจบบทเพลง บ่าวสาวผู้งามสง่าทั้งสองก็ยืนเคียงกันอยู่กลางโถงพระโรง ดุจดั่งคู่สร้างคู่สม เหล่าผู้คนรอบๆ ต่างพากันอิจฉาถ้วนหน้า

ผู้คนนานาต่างพากันยกย่อง ว่าพวกเขาทั้งคู่เปรียบกิ่งทองใบหยก คล้ายลืมไปว่ามู่หรงเซียวเป็นชายที่มีสนมอยู่แล้ว ต่างพากันอดใจไม่ไหวนึกอยากให้พวกเขาตบแต่งกันเสียต่อหน้า

มู่หรงเซียวก็คุกเข่าลงขอประทานสมรส

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สักวารัก อาบแผ่นดิน