ตอน บทที่ 18 พวกแกจบเห่แล้ว จาก ศึกเดือด มหากาฬ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 18 พวกแกจบเห่แล้ว คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายใช้ชีวิต ศึกเดือด มหากาฬ ที่เขียนโดย Light-Knight เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
พวกเขายืนกรานในความคิดของตัวเอง แต่ก็เชื่อในการตัดสินใจของวังจ่างหลินมากกว่า
เพียงแต่การกระทำก่อนหน้านี้ของตระกูลหลินนั้นมันน่าตกใจมากเกินไป ทำให้พวกเขาตกใจกลัวไม่น้อย เดิมทีคิดว่าจะต้องจบชีวิตลงตรงนี้ แต่การมาของเฉ่าเฉียงกลับได้ทำลายหมากที่ตกอยู่ในภาวะชะงักงันกระดานนี้
“ประธานวัง คุณรู้แต่แรกแล้วหรือเปล่าว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้ ดังนั้นจึงยืนหยัดที่จะเป็นปรปักษ์กับตระกูลหลิน?” จู่ ๆ ก็มีคนถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
ได้เกิดการคาดคะเนแบบนี้ขึ้นมาในใจของพวกเขา เพราะถ้าตัดเรื่องนี้ออกไป ก็ไม่สามารถอธิบายได้จริง ๆ
หรือแม้กระทั่ง พวกเขายังเชื่อว่าผู้สนับสนุนของวังจ่างหลินคือชายหนุ่มคนนั้น
แต่พวกเขาไม่รู้ว่า ความตะลึงงันภายในใจของวังจ่างหลินในตอนนี้ไม่น้อยกว่าพวกเขาเลย
“ผู้หญิงบ้าคนนั้น ไม่สิ สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดไม่ใช่คำพูดที่ไม่มีเป้าหมาย ยิ่งไม่ได้คุยโวโอ้อวด พวกเขามีพลังที่สามารถทำลายตระกูลหลินได้จริง ๆ !”
ในเวลานี้วังจ่างหลินได้เงียบไปครึ่งค่อนวัน
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่เคยคิดเลยว่า ผู้หญิงที่จู่ ๆ ก็ได้มาที่ห้องทำงานของตัวเอง และได้พูดคำพูดที่ยโสโอหังมากมายออกมา คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะกลายเป็นจริง!
แต่ว่า พวกเขามีฐานะอะไรกันแน่?
แล้วชายหนุ่มคนนั้นเป็นบุคคลเช่นไหนกัน?
คำถามมากมายวนเวียนอยู่รอบ ๆ หัวใจของวังจ่างหลิน แค่ต้องการรอให้ทางด้านเฉินอีให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผล
เพียงแต่ว่า เฉินอีไม่มีท่าทีว่าจะอธิบายเลยสักนิด
เขาลุกยืนขึ้นอย่างสบาย ๆ และก้าวเท้าเดินลงมาจากด้านบน พวกหงส์แดงเดินตามหลังมาติด ๆ ส่วนเฉ่าเฉียงนั้นได้ยืนอยู่อีกข้าง ไม่กล้าเข้าใกล้เลยสักนิด
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าสำนักมังกรลับเป็นการมีอยู่ที่แข็งแกร่งเพียงใด แต่ตราบใดที่มีความเกี่ยวข้องกับกองกำลังนอกเขตชายแดน เช่นนั้นจะต้องไม่อ่อนแออย่างแน่นอน
ไม่ว่าเฉินอีจะมีตำแหน่งอะไรในสำนักมังกรลับ ล้วนไม่ใช่สิ่งที่ข้าราชการตำแหน่งสูงของที่นี่อย่างเขาสามารถล่วงเกินได้
และก็เพราะการหลีกเลี่ยงอย่างว่าง่ายของเฉ่าเฉียง ทำให้ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นต้องตะลึงมากยิ่งขึ้น
หลินเจิ้นหลงเองก็กำหมัดแน่น คิดอยากจะตะโกนด่าออกมา แต่ทันทีที่มองเห็นปลายกระบอกปืนสีดำสนิทนั่น เขาก็ทำได้เพียงกำหมัดแน่น ไม่กล้าเอ็ดปากแม้แต่นิดเดียว
นั่นมันทำให้ที่มุมปากของเฉินอีปะปนไปด้วยอารมณ์หยอกล้อ
“ทำไมเหรอ? นายท่านตระกูลหลิน ก่อนหน้านี้แกยังคุยโวโอ้อวดอยู่เลยว่าจะให้พวกเราทั้งหมดอยู่บนเขาติ้งจุน ใต้พื้นดินของตำหนักมังกรหยก ทำไมตอนนี้ถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”
“แม่ง!”
หลินเจิ้นหลงตะโกนด่าคำหยาบออกมาในใจ
สถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าเขายังกล้าอวดดีอีก ถ้าไม่ใช่เพราะสมองของเขามีปัญหา ก็คงเป็นเพราะสมองของอีกฝั่งมีปัญหา
แต่หมอนี่ได้รังแกมาจนถึงบนหัวแล้ว เขาจะไม่ปิดปากเงียบอย่างแน่นอน
“เฉิน คุณเฉิน ใช่ไหม?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ใช้คำศัพท์จำพวกเศษสวะ แต่ก็ได้รู้จักแซ่ของเฉินอีมาผ่านทางเฉ่าเฉียง
สำหรับตรงนี้ เฉินอีเพียงแค่พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร
หลินเจิ้นหลงสูดลมหายใจครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ย: “คุณเฉิน ก่อนหน้านี้เกรงว่าระหว่างพวกเราจะมีความเข้าใจผิดกัน พวกเรามานั่งคุยกันจะดีกว่า เพราะถึงยังไงก็ไม่มีเรื่องอะไรที่เหล้าสักสองสามแก้วแก้ไขไม่ได้”
เฒ่ากะล่อน
นี่คือธรรมชาติของพวกนักธุรกิจ คิดว่าอาศัยเหล้าเพียงไม่กี่แก้ว อย่างน้อยก็ทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นมาได้บ้าง
แต่วิธีนี้ใช้ได้แต่กับพวกนักธุรกิจเท่านั้น ไม่มีผลใด ๆ เฉินอี
เฉินอีหัวเราะเบา ๆ แววความเย็นชาปรากฏขึ้นมาที่มุมปากเล็กน้อย
“เข้าใจผิดงั้นเหรอ?”
“ไม่ ฉันไม่คิดว่ามีอะไรเข้าใจผิด”
“ลูกชายของแกจับภรรยาของฉัน แล้วยังลักพาตัวและกักขังลูกสาวของฉัน เพื่อข่มขู่ให้ภรรยาของฉันยินยอม ดังนั้นฉันเลยหักขาของมัน แกคิดว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดไหม?”
ในตอนนี้เฉินอีได้เอ่ยขึ้นมา “ถ้าคุณยังทำแบบนี้ต่อไป หมอนี่คงต้องถูกตีจนตายแน่ คุณอยากจะให้เดรัจฉานนี้ตายไปง่าย ๆ แบบนี้เหรอ?”
ทันทีที่ประโยคนี้ถูกพูดออกมา การเคลื่อนไหวของนักธุรกิจผู้มั่งคั่งคนนั้นก็ได้หยุดลง เขาพลันได้สติกลับคืนมา
“ใช่แล้ว จะให้ไอเดรัจฉานตายไปแบบนี้ไม่ได้ มันสบายมากเกินไป!”
พูดจบ นักธุรกิจผู้มั่งคั่งก็ได้เตะเข้าไปเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเดินตรงไปทางวังจ่างหลิน
นอกจากนี้แล้ว ยังมีนักธุรกิจผู้มั่งคั่งอีกสองคนที่ได้เปลี่ยนมาอยู่ฝ่ายวังจ่างหลิน
พวกเขาต่างก็เป็นเหมือนกับนักธุรกิจผู้มั่งคั่งคนก่อนหน้า เพราะภัยพิบัติของครอบครัว จำเป็นต้องอ้อนวอนให้หลินเจิ้นหลงช่วยตามหาตัวฆาตกรถึงได้เข้าพึ่งพิงอีกฝ่าย
แต่ตอนนี้ได้รู้แล้วว่าหลินเจิ้นหลงและลูกชายของเขาคือตัวต้นเหตุทั้งหมด เป็นธรรมดาที่จะไม่อยู่อีกต่อไป
“แม่ง!”
ผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลหลินเห็นดังนั้น มุมปากก็กระตุกเล็กน้อย
“นี่พวกแกจะละเลยกฎบัญชาสามตรางั้นเหรอ?”
ผู้อาวุโสรองเองก็มีสีหน้าไม่น่าดูสักเท่าไหร่นัก และเอ่ยถามขึ้นมาอย่างเยือกเย็นทันที
กฎบัญชาสามตรา
เมื่อทั้งห้าคำนี้ถูกพูดออกมา สีหน้าท่าทีของทางพวกวังจ่างหลินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
แม้แต่เฉ่าเฉียงเองก็มีแววยำเกรงขึ้นมา
เห็นว่าเขาเป็นถึงผู้นำเมือง แต่ตระกูลกวนนั้นไม่ธรรมดา ไม่ใช่แค่เป็นตระกูลมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ในชิงชวน แถมยังเป็นสมาชิกขององค์กรนั้นด้วย ภูมิหลังแข็งแกร่งล้ำลึก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่กุมอำนาจในการจัดตั้งล้มล้างในเมืองเมืองหนึ่งเอาไว้ แถมยังมีอำนาจในการสั่งการตัดสินใจอีกด้วย
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หลินเจิ้นหลงที่เดิมทีถูกตีอย่างหนักก็ได้ปรากฏแววเหยียดหยามออกมา
“เหอะ ๆ พวกแก จบเห่แล้ว!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ศึกเดือด มหากาฬ