ศึกเดือด มหากาฬ นิยาย บท 6

สรุปบท บทที่ 6 เรียกคนมาอีก: ศึกเดือด มหากาฬ

บทที่ 6 เรียกคนมาอีก – ตอนที่ต้องอ่านของ ศึกเดือด มหากาฬ

ตอนนี้ของ ศึกเดือด มหากาฬ โดย Light-Knight ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายใช้ชีวิตทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 6 เรียกคนมาอีก จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

หลินเทียนเชิงถือเป็นเนื้อร้ายหนึ่งของเมืองฉือ เขามีงานอดิเรกสุดแสนโรคจิตอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการทรมานผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว

อีกทั้งยังชอบดูลูกและสามีของหญิงคนนั้นตายตาไม่หลับด้วยความอัปยศอดสู

และทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่ามีการปกป้องจากตระกูลหลิน คนในเมืองฉือจึงไม่มีใครกล้าอาละวาดอะไรเลย

เฉินอีไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ ว่านายท่านตระกูลหลินเป็นพ่อประสาอะไรกันแน่ ถึงได้สั่งสอนอบรมให้หลินเทียนเชิงกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานแสนโหดเหี้ยมแบบนี้ได้

ถ้าหากฉินปิงหลันไม่เคยเป็นสาวสวยอันดับหนึ่งของเมืองฉือมาก่อน แล้วหลินเทียนเชิงอยากให้เธอรุกไปถวายตัวถึงบนเตียงเพื่อสนองตัณหากามของตัวเอง บางทีพวกเธอสามแม่ลูกก็คงจะไม่ต่างกับคนอื่นๆ ที่หายตัวไปจากเมืองฉืออย่างไร้สุ้มเสียง

แต่คงเพราะหลายปีมานี้ เขาหมดความอดทนต่อฉินปิงหลันแล้ว ถึงได้มีเหตุการณ์ทรมานเด็กน้อยทั้งสองที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

ตอนนี้ หลินเจิ้นหลงนายท่านตระกูลหลินที่กำลังอยู่ในคลับเฮาท์เมืองชิงชวน ทันทีที่เห็นเบอร์โทรศัพท์ของลูกชายโทรเข้ามาถึงตะลึง

ลูกชายของตัวเองคนนี้วันๆ เอาแต่หลงใหลอยู่ตัวของผู้หญิงแต่งงานแล้ว วันนี้ทำไมถึงได้มีเวลาโทรมาหาเขาได้กัน ?

แต่ทันทีที่กดรับสาย เสียงร้องโหยหวนขอความช่วยเหลือของหลินเทียนเชิงก็ดังแทรกเข้ามา

“พ่อ ช่วยด้วย พ่อของยัยยัยลูกผสมกลับมาแล้ว เขาตัดแขนทั้งสองข้างของผมไป แล้วยังจะตัดขาผมด้วย”

“พ่อ รีบส่งคนมาช่วยผมเร็วเข้า ผมไม่มีแขนแล้ว ผมต้องตายแน่ๆ ”

“จริงด้วย เขายังบอกอีกว่าหนึ่งนาทีจะตัดขาผมหนึ่งข้าง พ่อ รีบมาช่วยผมหน่อย ผมยังไม่อยากตาย”

หลินเจิ้นหลงชักสีหน้าทันที “เทียนเชิง แกอยู่ที่ไหน?ฉันจะรีบส่งคนไปช่วยแก แก……”

“เขาอยู่ที่คฤหาสน์ริมน้ำ” เฉินอีพูดจบก็เหยียบโทรศัพท์ของหลินเทียนเชิงจนแตก

เมื่อได้เสียงปลายสายร้อง “ตุ๊ดๆ” หลินเจิ้นหลงยกหมัดขึ้นทุบโต๊ะชาตรงหน้าจนหัก “กล้ามาแตะต้องลูกชายของหลินเจิ้นหลง รนหาที่ตาย”

เหล่าสหายที่นั่งดื่มชาด้วยต่างหันมากล่าวถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

หลินเจิ้นหลงไม่มีเวลาที่จะมาอธิบาย รีบโทรศัพท์กลับไปยังเมมืองฉือทันที “เจิ้นหู่ รีบพาคนไปที่คฤหาสน์ของเทียนเชิงเดี๋ยวนี้ เทียนเชิงถูกกุดแขนแล้ว หลังจากไปแล้วช่วยตัดทั้งแขนและขาของไอ้คนร้ายนั้นให้หมด ฉันอยากจะให้ต้องร้องขอชีวิตไม่ได้ขอความตายไม่ได้เลย”

“ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้ ฉันอยากจะเห็นกับตาว่าใครกันที่บังอาจใจกล้ามาแตะต้องลูกชายของฉัน”

หลินเจิ้นหลงรีบเดินทางกลับไปยังเมืองฉืออย่างรวดเร็ว ในระหว่างทางเขาพยายามสุดชีวิตเพื่อที่จะโทรศัพท์ไปหาหลินเทียนเชิง แต่มันกลับแจ้งว่าเครื่องปิดทำงานอยู่ตลอด จนทำให้ความรู้สึกไม่ดีในใจยิ่งเลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากที่หลินเทียนเชิงร้องขอความช่วยเหลือ และรู้ว่าคนตระกูลหลินกำลังจะส่งคนมาช่วยเขา ความกลัวที่มีต่อเฉินอีก็พลันลดลงไป ดวงตาชั่วร้ายทั้งสองจ้องเขม้นไปยังเฉินอี พร้อมกับแอบคิดว่ารอให้คนตระกูลหลินมาแล้ว จะต้องสับให้คนพวกนี้เป็นท่อนๆ แน่

เฉินอีเหลียวมองหลินเทียนเชิงอย่างเฉยชา “เอาเขายัดเข้าไปในกรงสุนัขซะ!”

องครักษ์มังกรเลื่อนกรงสุนัขเข้ามา แล้วยัดตัวหลินเทียนเชิงเข้าไปด้านใน ก่อนที่จะใช้พลั่วตักขี้สุนัขตรงมุมกำแพงมาโยนใส่หน้าของหลินเทียนเชิง

หลินเทียนเชิงจากที่ร้องตะคอกด่าทอ จนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงสายตาที่มองมาราวกับกำลังมองดูคนไร้สติจากพวกขององครักษ์มังกรแทน โดยที่ไม่มีใครสนใจเขาเลย

เฉินอีนั่งอยู่ใต้ร่มกันแดดอันใหญ่ โดยมีมังกรสองจนถึงมังกรเจ็ดทั้งหกคนยืนเรียงแถวอยู่ด้านหลังของเฉินอี และข้างๆ ก็คือกรงสุนัขที่มีหลินเทียนเชิงอยู่ด้านใน

ประตูคฤหาสน์เปิดกว้างรอคนของตระกูลหลินมาถึงอย่างเงียบๆ

ในเวลาเพียงสิบนาที เสียงรถยนต์ก็ดังขึ้น จากนั้นรถราวยี่สิบคันก็เรียงแถวเหยียดยาวพุ่งตรงเข้ามาในคฤหาสน์ริมน้ำ จอดลงตรงหน้าของศพที่ตั้งอยู่

ประตูรถเปิดออก คนจำนวนนับร้อยเดินถือมีดถือขวาน ที่ล้วนแสดงสีหน้าโหดเหี้ยม อายสังหารฟุ้งกระจายไปทั่ว รวมตัวเดินตามหลังชายหัวล้านคนหนึ่ง โดยที่สีหน้าสุดแสนเหี้ยมโหดนั้นกำลังจ้องมองไปยังเฉินอีที่กำลังนั่งอยู่ในร่มกันแดด

ชายหัวล้านคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือน้องรองของตระกูลหลินนั่นเอง ซึ่งพี่ใหญ่แห่งโลกใต้ดินของเมืองฉือนั่นก็คือหลินเจิ้นหู่

หลินเจิ้นหู่ที่เห็นศพกว่ายี่สิบศพ ถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย

เจอกับคนแกร่งแล้วสิ ทุกคนล้วนตายด้วยการเคลื่อนไหวเดียวเท่านั้น

แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีเพียงเจ็ดคนเท่านั้น หลินเจิ้นหู่จึงไม่ได้คิดใส่ใจอะไรมากมาย

สองหมัดยากจะสู้สี่มือ เป็นปรมาจารย์แล้วจะยังไง ต่อให้จะร้ายกาจแค่ไหน มีหรือที่จะสู้กับคนนับร้อยของตัวเองได้ ?

องครักษ์มังกรและองครักษ์เสือพากันแบกหลินเจิ้นหู่มายังตรงหน้าของเฉินอี

กลุ่มขององครักษ์เสือพากันชันเข่าหนึ่งข้างลง “พวกเราองครักษ์เสือแห่งสำนักมังกรลับ มาช้าเกินไป เจ้ามังกรโปรดลงโทษด้วย”

“ลุกขึ้นเถอะ!” เฉินอีพูดด้วยเสียงที่นิ่งเรียบ

องครักษ์เสือรีบลุกขึ้นยืนแล้วถอยออกไปอีกด้าน

“แกเป็นใครกันแน่?” หลินเจิ้นหู่มองไปที่เฉินอีด้วยความประหลาดใจ

สำนักมังกรลับ?นี่มันองค์กรอะไรกัน?

อย่าบอกนะว่าเป็นองค์กรลับของหน่วยทหาร ?

จริงด้วย ต้องเป็นแบบนี้แน่ พวกองครักษ์เสือนั่นดูก็รู้ว่าเพิ่งจะออกจากสงครามมา เพราะร่างกายยังเต้มไปด้วยกลิ่นดินปืนอยู่ จะต้องเป็นคนของหน่วยทหารไม่มีผิด

หลังจากที่คิดได้ หลินเจิ้นหู่เหมือนจะสงบสติลงมา

ถ้สหากคนพวกนี้เป็นคนของหน่วยทหารจริง อย่างนั้นเรื่องนี้ก็จะจัดการได้ง่ายแล้ว

“เรียกคนต่อเถอะ!” เฉินอีชำเลืองสายตาไปหาหลินเจิ้นหู่ แล้วยกมือขึ้นมาดูเวลา “สิบหน้านาทีถึงแล้ว ตัดขาเขาหนึ่งข้างได้”

มังกรสองที่กำลังจะหันตัว หัวหน้าองครักษ์เสือรีบเดินแทรกเข้าไปแล้วใช้ฝ่ามือใหญ่ที่เปื้อนไปด้วยเลือดคว้าขาของหลินเทียนเชิงที่อยู่กรงสุนัขเอาไว้

“กล้าทำร้ายนายหญิงและนายน้อย ฉันจะเอาแกให้ตาย”

หลินเทียนเชิงที่กำลังสิ้นหวังพยายามดิ้นอย่างหนัก แต่แรงอันน้อยนิดแบบนั้นของเขาเมื่ออยู่หน้าขององครักษ์เสือ ก็ไม่ต่างอะไรกับมดแดงที่คิดเขย่าต้นไม้ใหญ่

กริชในมือของหัวหน้าองครักษ์เสือประกายแสงขึ้นมาพุ่งเข้าไปยังขาของหลินเทียนเชิง

“หยุดเดียวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าเขาซะ” เสียงของหลินเจิ้นหู่ดังขึ้นมา หัวหน้าองครักษ์เสือจึงหันหน้ากลับไปมองก็เห็นว่าในมือของหลินเจิ้นหู่มีปืนไฟกำลังจ่อไปที่หัวของเฉินอีอยู่

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ศึกเดือด มหากาฬ