“ฝ่าบาท เผิงไหลจวิ้นอ๋องได้นำคนที่เขาเพิ่งรับเข้ามาใหม่มุ่งหน้าไปยังทิศใต้ของเมือง ข้าน้อยคาดว่าเขาน่าจะไปที่ร้านตีเหล็กพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในพระราชวัง องครักษ์เงาคุกเข่าข้างหนึ่งรายงาน
ฮ่องเต้ที่ทรงฉลองพระองค์เรียบร้อยแล้ว พยักหน้าเล็กน้อย บนใบหน้าปรากฏความพึงพอใจ
“ไปร้านตีเหล็ก ย่อมเป็นเพราะเรื่องอาวุธ ในที่สุดฉู่หนิงก็ทำเรื่องที่ทำให้เราพอใจเสียที”
ฮ่องเต้สะบัดแขนเสื้อ พลางเสด็จไปยังนอกตำหนัก แย้มพระสรวลแล้วตรัสว่า “ไปว่าราชการ!”
องครักษ์เงาอ้าปากค้าง คำพูดที่มาถึงริมฝีปากแล้วก็ถูกกลืนกลับลงไปอย่างยากลำบาก
ยากนักที่ฮ่องเต้จะทรงเกษมสำราญเช่นนี้ จะไปขัดพระทัยฝ่าบาทไม่ได้!
หวังว่าการเดินทางครั้งนี้ของเผิงไหลจวิ้นอ๋องจะสามารถตีอาวุธได้อย่างราบรื่นเถอะ!
ในขณะนั้น ภายในตำหนักบูรพา องค์รัชทายาทที่กำลังคัดลอกพระคัมภีร์อยู่ก็ได้รับข่าวเช่นกัน
“อะไรนะ ฉู่หนิงพาคนไปที่ร้านตีเหล็กที่น้องรองมอบให้เขาหรือ?”
“จริงแท้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ คนของเราจับตาดูอยู่ตลอด” องครักษ์ส่วนตัวขององค์รัชทายาทที่สวมชุดเกราะตอบเสียงทุ้ม
องค์รัชทายาทหรี่ตาลง ดวงตาฉายแววเยือกเย็นแวบหนึ่ง
เจ้าฉู่หนิงสารเลว ก่อนตายยังทำให้ข้าต้องถูกกักบริเวณ กลายเป็นเรื่องตลกในหมู่ขุนนางอีก
การที่ฉู่หนิงไปร้านตีเหล็ก ต้องเป็นการไปตีอาวุธอย่างแน่นอน แต่เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเถ้าแก่ภายในร้านตีเหล็กเป็นคนของข้า!
ทำให้ข้าต้องถูกกักบริเวณ แล้วข้าจะยอมให้เขาสมหวังได้อย่างไร?
ครั้งนี้ จะต้องทำให้ฉู่หนิงพลาดท่าให้ได้
แล้วก็ถือโอกาส โยนความผิดให้น้องรอง
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!
มุมปากขององค์รัชทายาทเผยรอยยิ้มเย็นชา “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ไม่ว่าวันนี้ฉู่หนิงจะทำอะไร ห้ามให้เขาสมหวังเด็ดขาด!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
...
บนถนนทางใต้ของเมือง ผู้คนสัญจรไปมาไม่ขาดสาย ช่างคึกคักยิ่งนัก
สองข้างทางมีเสียงพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอยตะโกนเรียกลูกค้าเป็นระยะ ๆ ผู้คนที่เดินทางมาจากทุกสารทิศต่างหยุดฝีเท้าเพื่อเลือกซื้อของที่ตนเองถูกใจ
สมแล้วที่เป็นเมืองหลวง ช่างเจริญรุ่งเรืองจริง ๆ !
ฉู่หนิงถอนหายใจในใจ
น่าเสียดายที่สำหรับเขาแล้ว สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยเจตนาสังหาร หากไม่รีบจากไปโดยเร็ว ท่านพี่ทั้งสิบเจ็ดคนของเขา แค่คนใดคนหนึ่งก็สามารถปลิดชีพเขาได้แล้ว
“ท่านอ๋อง พวกเรามาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” กวนอวิ๋นชี้ไปยังร้านตีเหล็กแห่งหนึ่งทางขวามือของถนน
ฉู่หนิงเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นว่าร้านตีเหล็กนั้นกินพื้นที่ประมาณสองหมู่ มีชายฉกรรจ์เปลือยท่อนบนเจ็ดแปดคนกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น
คนกลุ่มนี้บ้างก็กำลังตีเหล็ก บ้างก็กำลังสูบลม ไม่ได้ให้ความสนใจกับการมาถึงของฉู่หนิงแม้แต่น้อย
ทันทีที่ฉู่หนิงเข้าไปใกล้ ช่างตีเหล็กคนหนึ่งก็ดึงเครื่องสูบลมอย่างแรง เปลวไฟในเตาหลอมพวยพุ่งออกมา ความร้อนสูงทำให้ภาพตรงหน้าบิดเบี้ยวในทันที
“บังอาจ!”
สีหน้าของจ้าวอวี่เคร่งขรึม ก้าวมายืนขวางหน้าฉู่หนิง สะบัดฝ่ามือออกไปครั้งหนึ่ง เปลวไฟก็ถูกดับลง
“บังอาจนัก ถึงกับกล้าไร้มารยาทต่อจวิ้นอ๋อง!”
“ยังไม่รีบขออภัยท่านอ๋องอีก?”
ทหารผ่านศึกกว่าสามสิบคนที่อยู่ด้านหลังฉู่หนิงปลดปล่อยแรงกดดันออกมา กลิ่นอายสังหารอันน่าสะพรึงกลัว ทำให้ช่างตีเหล็กทุกคนหวาดกลัวจนตัวแข็งทื่อ ราวกับว่าที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่คน แต่เป็นสัตว์ป่าที่พร้อมจะขย้ำคน
แม้ว่าเหล่าช่างตีเหล็กจะเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่กำยำ แต่ก็ไม่เคยผ่านสนามรบ ไม่เคยเจอกลิ่นอายสังหารเช่นนี้มาก่อน ถึงกับตกตะลึงจนยืนนิ่งอยู่กับที่
“ที่แท้ก็คือจวิ้นอ๋องเสด็จมาถึงแล้ว ข้าน้อยขออภัยที่มิได้ออกไปต้อนรับ โปรดอภัยด้วย!”
บุรุษวัยกลางคนรูปร่างเตี้ยอ้วน พุงพลุ้ย ใบหน้าเต็มไปด้วยเนื้อไขมัน ดวงตาคู่หนึ่งกลอกไปมาอย่างรวดเร็ว เดินออกมาจากร้านตีเหล็กอย่างเร่งรีบ
“ข้าน้อยเซียวหมิง เป็นเถ้าแก่ของร้านตีเหล็กแห่งนี้ เมื่อครู่พวกเขาตั้งใจกับการตีเครื่องมือการเกษตรมากเกินไป หากมีสิ่งใดล่วงเกินท่านอ๋องไป ก็ขอให้ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย”
เซียวหมิงกล่าวไปพลาง ประสานมือโค้งคำนับไปพลาง ทำท่าทีนอบน้อมถ่อมตน
ฉู่หนิงเหลือบมองคนผู้นี้แวบหนึ่ง ดวงตาฉายแววเย็นเยียบที่ยากจะสังเกตเห็นได้
จ้าวอวี่ขยับเข้ามาใกล้ กระซิบเสียงเบา “ท่านอ๋อง คนผู้นี้พูดถูกพ่ะย่ะค่ะ การตีอาวุธต้องได้รับอนุญาตจากกรมกลาโหม แต่ท่านเป็นองค์ชาย การตีอาวุธให้ผู้คุ้มกันของตนเอง กรมกลาโหมย่อมให้ความยินยอมไปโดยปริยาย”
นั่นก็หมายความว่าเจ้าเซียวหมิงนี่ไม่ไว้หน้าเขาสินะ!
คนธรรมดาจะตีอาวุธย่อมทำไม่ได้อย่างแน่นอน แต่องค์ชายก็เป็นคนของราชวงศ์ การตีอาวุธให้ผู้คุ้มกัน กรมกลาโหมจะกล้าพูดอะไรได้?
เรื่องที่แม้แต่ทหารรักษาพระองค์อย่างจ้าวอวี่ยังรู้ แล้วเซียวหมิงมีหรือจะไม่รู้?
แต่เซียวหมิงผู้นี้ไม่เพียงแต่ไม่อธิบาย กลับจงใจบ่ายเบี่ยง เห็นได้ชัดว่าจงใจหาเรื่อง!
ดูท่าว่าร้านตีเหล็กของพี่รองนี้ คงจะไม่ได้มาง่าย ๆ เสียแล้ว
ดวงตาของฉู่หนิงหรี่ลง ลุกขึ้นยืนทันที แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “คนเหล่านี้คือผู้คุ้มกันที่จะต้องติดตามข้าไปรบที่แนวหน้า หากไม่มีอาวุธ พวกเขาจะรับใช้บ้านเมืองได้อย่างไร?”
“เถ้าแก่เซียว เห็นแก่ที่คนเหล่านี้กำลังจะเดินทางไปยังแนวหน้า พอจะตีอาวุธให้พวกเขาคนละชิ้นได้หรือไม่?”
เหอะ ๆ ๆ คิดจะใช้อำนาจขององค์ชายแล้วหรือ?
น่าเสียดาย เจ้าฉู่หนิงไม่มีทั้งอำนาจและบารมี แรงกดดันแค่นี้ไม่มีผลกับเขาหรอก
เซียวหมิงส่ายหน้า ยังคงแสดงสีหน้าจนปัญญา “จวิ้นอ๋อง เรื่องนี้ข้าน้อยสุดความสามารถจริง ๆ เว้นแต่ท่านจะไปนำหนังสือรับรองจากกรมกลาโหมมาได้”
แค่องค์ชายขยะคนหนึ่ง กรมกลาโหมจะยอมให้ความร่วมมือหรือไร!
ฉู่หนิงดูเหมือนจะรู้สถานการณ์ของตนเองดี เมื่อเห็นว่าการข่มขู่ไม่ได้ผล แรงกดดันบนร่างก็พลันลดลงไปกว่าครึ่ง
“เฮ้อ การไปกรมกลาโหมช่างเสียเวลาและยุ่งยากนัก ข้ารอไม่ได้นานขนาดนั้น!”
ฉู่หนิงเหลือบมองทหารผ่านศึกกว่าสามสิบคนที่อยู่ด้านนอก ดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยวออกมา “ข้าจะนำพวกเขาตีอาวุธด้วยตนเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเถ้าแก่เซียว แบบนี้คงได้แล้วกระมัง?”
เซียวหมิงถึงกับตกตะลึง
องค์ชายผู้สูงศักดิ์ จะมาตีอาวุธด้วยตนเอง?
นี่มันเรื่องน่าอับอายขายหน้ามาก!
แต่ทันใดนั้น เซียวหมิงก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างยิ่ง
เป้าหมายของเขาก็คือการทำให้ฉู่หนิงต้องอับอายขายหน้า เพื่อระบายความโกรธแทนองค์รัชทายาทอย่างไรเล่า!

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ศึกยอดมังกรครองบัลลังก์ แผ่นดินนี้ข้าไม่เอา