ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 10

สรุปบท ตอนที่ 10 เหลยเจิ้น: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

อ่านสรุป ตอนที่ 10 เหลยเจิ้น จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 10 เหลยเจิ้น คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

“ใช่แล้วท่านอาจารย์จิตวิญญาณ ข้าน้อยคือมู่หมิงจูแห่งตระกูลมู่ เมืองก่วงหลิง นี่คือเทียบเชิญของข้า เชิญท่านตรวจสอบได้” เมื่อมู่หมิงจูได้ยินดังนั้น ก็รีบนำป้ายเหล็กที่ส่องแสงดำมืดออกมาอันหนึ่ง แล้วยกขึ้นมอบให้ด้วยสองมือ

“อ้อ เจ้าเป็นคนของพี่มู่ แต่ว่าข้าไม่ใช่อาจารย์จิตวิญญาณ เป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น อาจารย์จิตวิญญาณนั้นคนธรรมดาที่ไม่ได้ผ่านเข้าสู่ทะเลจิตวิญญาณไม่อาจพบหน้าได้โดยง่าย” เมื่อชายเสื้อดำกล่าวออกมาแบบนี้ ใบหน้าอันเย็นชาก็คลายความเย็นชาลง กวักมือเรียกลงไปยังด้านล่าง

เสียงดัง “ฟิ้ว!”

ป้ายเหล็กหลุดจากมือดรุณีน้อยแล้วลอยขึ้นไป จากนั้นค่อยๆ ตกลงไปในมือของชายหนุ่ม

จากนั้นเขาทำท่ามือร่ายคาถาด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งยื่นนิ้วไปแตะแสงสีดำนั้น

เสียงดัง “ฟู่” ป้ายเหล็กสั่นเล็กน้อยก่อนที่จะมีม่านหมอกสีขาวมัวพุ่งออกมา

ในม่านหมอกสีขาวนี้ ปรากฏภาพดรุณีน้อยเสื้อม่วงที่บางครั้งก็เห็นลางๆ บางครั้งก็เห็นชัดแจ้ง นอกจากเสื้อผ้าและการแต่งกายที่ไม่เหมือนกันแล้ว ใบหน้าลักษณะท่าทางเหมือนตัวจริงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่าดูอายุแล้วเหมือนจะเด็กกว่าหน่อย

“อืม เป็นเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าสามารถไปยืนทางนั้นได้แล้ว” ชายเสื้อดำแค่กวาดสายตามองสักครู่ ก็พยักหน้าแล้วกล่าวออกมา

พอมู่หมิงจูได้ยินดังนั้น ก็ขานรับออกมาด้วยความดีใจแล้วเดินไปยังกลางลานกว้าง

“ข้า…ข้าน้อยเกาชง คารวะท่านฑูต!” เด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผู้นั้นหยิบป้ายเหล็กที่มีลักษณะเหมือนกันออกจากหน้าอก แล้วประคองยื่นออกไป จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น

“เกาชง…เจ้าก็คือหนึ่งในสามของศิษย์ผู้ฝึกปราณอิสระ ไม่เลวนี่ ไม่แน่เจ้าอาจได้เข้ามาเป็นศิษย์น้องร่วมนิกายกับเรา เอาเทียบเชิญของเจ้ามาดูหน่อยเถอะ” มันเป็นการยากที่จะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่ม ทั้งยังพูดจาด้วยท่าทีที่อ่อนโยนเช่นนี้

เขากวักมือเรียกแบบเดิมแล้วทำท่ามือร่ายคาถาอีกครั้ง

เกาชงผ่านด่านนี้ไปได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ

“ไป๋ชงเทียนแห่งตระกูลไป๋ เชิญท่านฑูตตรวจสอบเทียบเชิญนี้” หลิ่วหมิงสูดลมหายใจเข้าไปหนึ่งเฮือก แล้วสองมือประคองป้ายเหล็กยื่นออกไป

ในใจเขาตอนนี้รู้สึกตื่นเต้นมาก แต่สีหน้ายังคงดูปกติ

ครั้งนี้ชายเสื้อดำกวาดสายตามองชายหนุ่มอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็รับป้ายขึ้นมาโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ

แสงสีขาวม้วนตัวออกมาจากป้ายเหล็กเหมือนเดิม ภาพไป๋ชงเทียนอีกคนที่ดูปราดเปรียวราวกับมีชีวิตปรากฏออกมา

สายตาของหลิ่วหมิงเหลือบมองภาพที่ปรากฏนั้น เขารู้สึกใจเต้นเล็กน้อย

ภาพไป๋ชงเทียนที่ปรากฏนั้น เหมือนกับเขาแปดถึงเก้าส่วน แต่ตอนนั้นสวมใส่เสื้อผ้าสีขาว และลักษณะท่าทางดูหยิ่งผยอง ตรงจุดนี้ไม่เหมือนกับตัวจริงเลยทีเดียว

“เอ๋”

ชายเสื้อดำพินิจดูไป๋ชงเทียนในภาพที่ปรากฏ แล้วส่งสายตามองดูหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านล่าง สีหน้าแสดงความประหลาดใจ

หลิ่วหมิงรู้สึกไม่สบายใจ ห่วงทองเหลืองบนข้อมือมีแสงกะพริบออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน

“อืม ผ่านไปแค่หนึ่งปีเปลี่ยนไปไม่น้อย ดูท่าแล้วหลายปีมานี้ คงจะเตรียมตัวเพื่อเปิดจิตวิญญาณมาไม่ใช่น้อยเหมือนกัน อารมณ์หุนหันพลันแล่นแบบเมื่อก่อนคลายลงไปเยอะเลย” ชายเสื้อดำค่อยๆ กล่าวออกมา

เมื่อหลิ่วหมิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมามาก เขารีบโค้งตัวลงแล้วกล่าวขึ้น

“ข้าน้อยรู้ว่าฝีมือข้านั้นธรรมดา เลยต้องฝึกฝนหนักหน่อยถึงจะคว้าโอกาสในการเปิดจิตวิญญาณได้”

“เหอๆ เข้าสู่ทะเลจิตวิญญาณไม่ใช่เรื่องที่ว่าฝึกหนักแล้วจะผ่านได้ ช่างเถอะ ตอนนี้พูดเรื่องแบบนี้กับพวกเจ้าก็คงไม่มีประโยชน์อะไร ต่อไปในภายหลังพวกเจ้าก็จะเข้าใจเอง พวกเจ้าทั้งหมดหาที่นั่งแล้วนั่งให้เรียบร้อย อีกสักครู่ข้าจะรีบลงไปอีกที่หนึ่งแล้ว ” ชายผู้นั้นหัวเราะแล้วกล่าวออกมาอีกสองสามประโยค แต่ไม่ยอมกล่าวอะไรมากกว่านั้น และกำชับให้ทุกคนหาที่นั่ง

เมื่อเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยคนอื่นๆ ได้ยินดังนี้แล้วต่างก็นั่งลงไปที่เดิม

หลิ่วหมิงและคนที่มาพร้อมกันอีกสองคนต่างก็หาที่นั่งบนลานเวหากว้างๆ นั้นแล้วนั่งลงไป

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกรับมาจากที่สถานที่เดียวกันหรือเปล่า ทั้งสามคนถึงได้ไม่แยกจากกันแล้วไปนั่งกับคนอื่นๆ แต่เขาทั้งสามกลับนั่งด้วยกัน

แต่ทั้งสามคนก็ได้แต่จ้องมองกัน ไม่มีใครยอมเปิดปากพูดก่อนเลยสักคน

ในตอนนี้ชายเสื้อดำกลางอากาศกลับหยิบแผ่นกลมๆ สีเทาขาวออกมาด้วยการพลิกมือข้างเดียว หลังจากนั้นร่างของเขาก็บังเกิดแสงสว่างจ้าอีกครั้ง แล้วลอยขึ้นไปจมหายเข้าไปในม่านแสงนั้น

ผ่านไปชั่วครู่รูปปั้นสลักเหล่านั้นก็คำรามเสียงฮึ่มมม! แล้วเปล่งแสงประกายสลัวๆ ออกมา จากนั้นลานเวหาทั้งลานก็พกแรงหนืดมหาศาลแล้วพุ่งออกไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่ง

เด็กหนุ่มและดรุณีน้อยจำนวนมากที่ยังนั่งไม่เรียบร้อยต่างก็ล้มลงระเนระนาดไปทั่วทิศ

ดรุณีน้อยเสื้อม่วงที่อยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงก็ไม่ทันระวังตัว ร่างกายอันบอบบางถลาจะล้มลง ดีที่เด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่มือไม้ไวรีบคว้าแขนของนางไว้แล้วค่อยๆ พยุงกลับมายืนได้ตามปกติ

“ขอบคุณพี่เกามาก” หลังจากมู่หมิงจูนั่งเรียบร้อยแล้ว ก็กล่าวขอบคุณเด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ

“ไม่…ไม่เป็นไร ก็แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” เกาชงเห็นดรุณีน้อยพูดขอบคุณกับเขา เขากลับทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเอามือไม้ไปวางไว้ที่ไหนดี

ดรุณีน้อยเสื้อม่วงยิ้มให้กับเกาชงแล้ว ก็หันกลับไปจ้องมองหลิ่วหมิงตาเขม็ง

หลิ่วหมิงนั่งนิ่งอยู่ที่พื้น ดูเหมือนไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า

ตอนที่อยู่บนเกาะมฤตยู เขาได้เรียนรู้ว่ายิ่งไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจยิ่งดี แบบนี้ถึงจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ยาวนานขึ้น

ผู้มาใหม่ที่ทำตัวโดดเด่นบนเกาะ คนที่เชื่อมั่นถือดีมากเกินไป ล้วนมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงปี

ถึงแม้โลกภายนอกกับบนเกาะมฤตยูจะไม่เหมือนกัน แต่เขาก็ยังคงไม่ละทิ้งความคิดแบบเดิมนี้

ตอนนี้เห็นได้ชัดแล้วว่ามู่หมิงจูกับเกาชงสนิทกันขึ้นมาอีกขั้นแล้ว ทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกอกถูกใจ และมีเสียงหัวเราะเบาๆ ของดรุณีน้อยดังเล็ดลอดมาอยู่ไม่ขาด หลิ่วหมิงกลายเป็นส่วนเกินของทั้งสองโดยไม่ตั้งใจ

แต่หลิ่วหมิงก็ไม่ได้สนใจว่าทั้งสองคนจะทำอะไรกัน เขารวบรวมสมาธิอีกครั้ง แล้วนั่งฝึกฝนต่อไป

เหลือเวลาอีกเจ็ดแปดวัน เหมือนทุกครึ่งวันลานเวหานี้จะหยุดรับเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยขึ้นมาใหม่ครั้งละสามสี่คน มากสุดก็สิบกว่าคน

เมื่อพื้นที่ตรงลานเวหานี้แน่นขนัดไปด้วยคนสามสี่ร้อยคน จนดูเหมือนว่าจะจุคนไม่ได้แล้ว ชายหนุ่มเสื้อดำก็ไม่รับคนขึ้นมาอีก เขาควบคุมลานเวหานี้กลับไปยังเส้นทางเดิม

ครึ่งเดือนต่อมา เมฆดำก้อนใหญ่ลอยผ่านเทือกเขาหลายลูก ในที่สุดก็มาถึงป่าดงดิบอันดำมืด และแล่นผ่านเข้าไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากแล่นไปข้างหน้าแค่อึดใจเดียวก็พุ่งเข้าไปไกลกว่าร้อยลี้[1] เทือกเขายักษ์สลับทับซ้อนกันหลายสิบกว่าลูกได้ปรากฏขึ้น

ท้องฟ้าอีกฝั่งหนึ่งก็ส่งเสียงดังกึกก้อง เมฆสีดำยักษ์อีกก้อนหนึ่งก็แล่นเข้ามาที่เทือกเขาเดียวกัน

ผ่านไปสักครู่ เมฆดำทั้งสองต่างก็ลงไปยังเทือกเขา และค่อยๆ ลอยลงไปที่ตีนเขาของยอดเขาลูกหนึ่ง

“ลงไปเถอะ ถึงนิกายของเราแล้ว”

ตอนที่ลานเวหาค่อยๆ ลอยลงไปที่พื้นอย่างมั่นคง เมฆดำที่แผ่คลุมและม่านแสงทั้งหลายก็กระจายหายไป ทันใดนั้นชายเสื้อดำได้ปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าทุกคน และกล่าวกำชับให้ทุกคนลงไป

บรรดาเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยต่างก็ตื่นเต้นดีใจ พากันกระโดดลงจากลานเวหา

หลิ่วหมิงกลับหยุดชะงักอยู่ที่ขอบของลาน สายตาทั้งคู่พินิจดูสภาพแวดล้อมรอบด้านอย่างละเอียด

……………………………………….

[1] ลี้ คือ หน่วยวัดระยะทางของจีน 1 ลี้ เท่ากับ 500 เมตรโดยประมาณ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา