อ่านสรุป ตอนที่ 11 นิกายปีศาจ จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet
บทที่ ตอนที่ 11 นิกายปีศาจ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ลานเวหาลอยลงมาตรงทุ่งหญ้าเขียวขจี สถานที่ที่อยู่ไม่ห่างจากทุ่งหญ้ามากนักคือป่าที่มีต้นไม้ประปราย มองเห็นบ้านหินแต่ละหลังเรียงอยู่ในนั้นอย่างเป็นระเบียบอยู่รำไร
หลิ่วหมิงมองไปยังบ้านหินเหล่านั้นครู่หนึ่ง พลันสายตาก็กวาดส่องไปยังอีกฝั่งหนึ่งของทุ่งหญ้า
สถานที่ที่อยู่ห่างจากเขาหลายสิบจั้ง มีลานแบบเดียวกัน เด็กหนุ่มและดรุณีน้อยหลายคนต่างก็ออกมาจากในนั้น
“ลงไปสิ จะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน?” เสียงบ่นหงุดหงิดดังมาจากด้านหลังของหลิ่วหมิง เมื่อเขาหันกลับไปดูก็พบกับชายหนุ่มเสื้อดำใบหน้าเคร่งขรึมกำลังรีบเร่งเขาให้ลงไป
ณ ขณะนี้ทุกคนบนลานเวหาได้ลงไปเกือบหมดแล้ว มีเขาชะงักอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน เขาเลยค่อนข้างสะดุดตาเล็กน้อย
หลิ่วหมิงโค้งศีรษะกล่าวขอโทษออกมาคำหนึ่ง แล้วเดินตามกลุ่มคนข้างหน้าลงไป ตอนนี้เขาถึงได้เงยหน้ามองไปยังยอดเขาใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ
ยอดเขาเหล่านี้สูงตระหง่านอย่างหาที่เปรียบมิได้ ช่วงล่างของเขาลูกนี้มีสิ่งปลูกสร้างที่แตกต่างกันอยู่เต็มไปหมด ทางขึ้นเขาขนาดใหญ่แลดูคล้ายกับงูยักษ์เลี้ยวคดเคี้ยวไปสู่ด้านบนของยอดเขา
ช่วงบนยอดเขาจมเข้าไปในสายหมอก มันถูกเมฆหมอกบังตาไว้ทำให้มองไม่เห็นอะไรเลย
ยิ่งกว่านั้นยังมีกลุ่มเมฆสีเทาลอยลงมาจากยอดเขา บนนั้นมีคนนั่งอยู่หนึ่งคน หรือบางกลุ่มก็มีหลายคนที่แต่งกายที่แปลกๆ มีทั้งคนชรา มีทั้งวัยรุ่น และมีทั้งชายหญิง แต่ลอยอยู่ค่อนข้างสูงทำให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าพวกเขาได้ชัดเจนนัก
คนเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าเป็นศิษย์จิตวิญญาณแบบเดียวกันชายเสื้อดำ ตอนที่ลอยผ่านมาที่ทุ่งหญ้านี้บางคนก็มองลงมาด้วยความแปลกใจ บางคนก็ขี่เมฆบินผ่านไปไม่ชำเลืองดูเลยแม้แต่น้อย ทำให้บรรดาเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยทั้งหลายที่อยู่ด้านล่างต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่
บางคนก็อดเพ้อฝันไม่ได้ว่าตัวเองมีชีวิตราวกับเซียนหลังจากได้กลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณ
ณ ขณะนี้ ชายเสื้อดำเดินลงมาจากบันได เขาเห็นความวุ่นวายของคนมากมายที่อยู่ด้านล่างเลยกล่าวสั่งสอนออกมาอย่างไม่เกรงใจ
“ที่นี่คือนิกายปีศาจ ไม่ใช่บ้านของพวกเจ้า ทุกคนหุบปากแล้วเข้าแถวเดินตามข้ามา”
เมื่อฑูตท่านนี้กล่าวจบ ก็ก้าวยาวไปยังทางเล็กๆ มุ่งตรงไปยังบ้านหินกลุ่มนั้น เด็กหนุ่มและดรุณีน้อยหลายร้อยคนต่างก็จำใจเดินเข้าแถวตามฑูตท่านนั้นไป
ที่บันไดหินอีกฝั่งหนึ่ง กลับมีหญิงสาวสวมเสื้อคลุมสีขาวไม่มีแขนขี่เมฆลอยออกมา พร้อมกับนำเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปในทางเล็กๆ อีกสายหนึ่ง มุ่งหน้าเดินเข้าไปในป่า
ผ่านไปสักพักทั้งสองกลุ่มก็พบกันตรงทางแยกที่อยู่ในป่า
เหมือนกับไม่ต้องกำชับเด็กทั้งสองกลุ่มก็รวมตัวกัน และเดินออกจากป่าอย่างรวดเร็ว มาโผล่ตรงทุ่งหญ้ากว้างมีบ้านหินเรียงเป็นแถว
ตอนนี้มีชายหญิงสิบกว่าคนสวมใส่เสื้อผ้าสีเขียวแบบเดียวกัน ยืนรออยู่ที่นั่นอย่างนอบน้อมแล้ว
“ข้าและศิษย์น้องสวินต่างได้พาคนเหล่านี้มาถึงแล้ว พวกเจ้าจัดการต่อด้วยแล้วกัน เหลือเวลาอีกสองเดือนพิธีเปิดจิตวิญญาณถึงเริ่ม ในระหว่างนี้พวกเขาสามารถเดินเล่นที่ราบเขาแถวนี้ได้ แต่ห้ามมิให้ออกจากเขตพื้นที่นี้เป็นอันขาด ใครฝ่าฝืนให้ยกเลิกสิทธิ์การเข้าร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณ” ชายเสื้อดำมองชายหญิงสิบกว่าคนแล้วกำชับด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“รับทราบ! ศิษย์พี่จางและศิษย์พี่สวินวางใจเถอะ พวกข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเอง”ชายฉกรรจ์หน้าตาโหดร้ายก้าวเท้ามาข้างหน้าก้าวหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างนอบน้อม
“อืม ข้าค่อนข้างวางใจการทำงานของศิษย์น้องฟางสง ถ้าอย่างนั้นข้ากับศิษย์น้องจะไปปรนนิบัติที่โถงละ” ชายเสื้อดำพยักหน้า ใบหน้าผ่อนคลายขึ้นมา
จากนั้นเขาและหญิงสาวที่สวมเสื้อคลุมสีขาวก็ร่ายคาถา ครู่เดียวเมฆสีเทาก้อนหนึ่งก็ค้ำยันทั้งสองขึ้นมา และจากนั้นก็สั่นเล็กน้อยแล้วลอบพุ่งไปทางยอดเขา
“เอาล่ะ เจ้าเด็กน้อยทั้งหลายพวกเจ้าก็ได้ยินกันแล้ว ต่อไปต้องอยู่ที่นี่นานครึ่งเดือน ระหว่างนี้ห้ามออกไปจากป่านี้แม้แต่ก้าวเดียว ถ้าหากข้ารู้มาว่าใครไม่เชื่อฟังแล้วแอบออกไปโดยพละการล่ะก็ รอบแรกจะโดนแส้งูเหลือมฟาดสิบที รอบที่สองสามสิบ รอบที่สามจะตัดสิทธิ์การเข้าร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณ” หลังจากรอชายเสื้อดำไปแล้ว ชายฉกรรจ์ที่ชื่อฟางสงโค้งคำนับเสร็จก็ยืนตัวตรง หันไปกล่าวกับบรรดาเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยอย่างไม่เกรงใจ
“อะไรนะ เมื่อกี้ท่านฑูตยังบอกเลยว่าสามารถไปเดินเล่นแถวนี้ได้ ทำไมกลายเป็นออกจากป่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ อีกอย่างพวกเรามาร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณนะ หาได้มาเพื่อถูกกักขังไม่” เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็มีคนกระซิบกระซาบขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าพูดอะไร!”
ชายฉกรรจ์ใบหน้าเคร่มขรึม เขาใช้มือเดียวคว้าไปที่อากาศ เด็กหนุ่มยืนด้านหน้าที่ดูแข็งแรงก็ถูกพลังแข็งแกร่งมองไม่เห็นดึงขึ้นมา แล้วเหวี่ยงออกไปจากกลุ่มคนเหล่านั้น ตกลงมาหน้าคว่ำจนจมูกเขียวช้ำใบหน้าบวมเป่ง
เมื่อเด็กหนุ่มผู้นี้ลุกขึ้นมาก็ดึงมีดสั้นยาวครึ่งฉื่อ ดวงตาทั้งสองจ้องมองชายฉกรรจ์ตรงหน้าด้วยความโกรธ แต่กลับรู้ตัวว่ามีพลังน้อยกว่าฝ่ายตรงข้าม จึงไม่กล้ากระโจนเข้าไป
“ข้าจะบอกพวกเจ้าตามตรงนะ พวกเราทั้งหมดนี่เมื่อสิบกว่าปีก่อนก็เหมือนกับพวกเจ้า ก็คือมาเข้าร่วมพิธีปิดจิตวิญญาณเหมือนกัน แต่ว่าเปิดจิตวิญญาณไม่สำเร็จเลยต้องมารับใช้อยู่ที่นี่ พวกเจ้าลองคิดดูนะว่าพวกเจ้าตอนนี้มีกันอยู่เจ็ดแปดร้อยคน แต่ความจริงแล้วมีคนสิบกว่าคนที่สามารถกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว และในพิธีเปิดจิตวิญญาณนี้จะต้องมีคนอย่างน้อยสองในสามที่อาจจะได้รับบาดเจ็บจนเสียชีวิต คนที่รอดถึงจะเป็นศิษย์นิกายสายนอกอย่างพวกข้าได้ ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าจงเก็บนิสัยคุณหนูคุณชายของพวกเจ้าไว้ ถ้าหากใครกล้าขัดขืนล่ะก็ พวกข้าก็จะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น และคำพูดก่อนที่ศิษย์พี่จางจะไปก็เป็นแค่คำพูดต่อหน้าเท่านั้น ที่ราบเนินเขาออกจะกว้างขนาดนี้ ไหนเลยจะยอมให้พวกเจ้าออกไปวิ่งเพ่นพ่าน คนของพวกเรามีแค่นี้ไหนเลยจะไปตามดูพวกเจ้าได้ และอีกอย่างหนึ่งพวกเราทุกคนที่นี่อย่างน้อยก็เป็นผู้ฝึกปราณขั้นสูง ส่วนข้าเป็นผู้ฝึกปราณขั้นสุดยอด ถ้าหากมีใครไม่ยอมรับล่ะก็ ก็มาประมือกับข้าได้เลย ขอแค่สู้ข้าได้พวกเจ้าอยากทำอะไรข้าจะไม่ห้ามเลยสักคำ” ฟางสงมองดูเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยเหล่านี้แล้ว กล่าวขึ้นด้วยใบหน้าดุร้าย
เมื่อเหล่าเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยได้ฟังแล้ว ความตื่นเต้นในตอนแรกกลับอันตรธานหายไปทันที คนที่นิสัยอ่อนแอบางคนถึงกับแสดงความหวาดกลัวออกมา
เมื่อศิษย์นิกายสายนอกคนอื่นๆ เห็นดังนี้ก็ไม่ได้ว่าอะไร ต่างก็แยกย้ายกันไป
แต่บรรดาเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยที่เหลือ เมื่อได้ยินว่าชายฉกรรจ์โหดร้ายผู้นี้บอกจะดูแลพวกเขาด้วยตนเอง ผู้คนกว่าครึ่งสีหน้าซีดเผือดในทันที
ฟางสงไม่ได้สนใจพวกเขา กลับหมุนตัวนำเดินไปทางบ้านหินอีกกลุ่มหนึ่ง
“เหอๆ” เสียงหัวเราะเยือกเย็นดังขึ้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งรีบก้าวเท้าเดินออกมาจากกลุ่ม แล้วเดินตามฟางสงไป
เด็กหนุ่มผู้นั้นก็คือเหลยเจิ้น ลูกหลานของตระกูลเหลยนั่นเอง
เมื่อคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ถึงกล้าเดินตามไป
หลิ่วหมิงเดินอย่างไม่รีบร้อน และก็ไม่เป็นจุดสนใจเลยแม้แต่นิดเดียว
หลังจากบรรดาเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยเดินออกไปไกลจากสายตาแล้ว ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งก็สั่นไหว สักครู่ก็ปรากฏร่างของชายสองคนออกมา
คนหนึ่งมีใบหน้าค่อนข้างเหลืองเล็กน้อย สวมใส่ชุดนักปราชญ์ บนศีรษะมีปิ่นไม้สีเหลืองปักอยู่ สองแขนไขว้ที่ด้านหลัง อีกคนกลับผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เท้าและหน้าอกเปลือยเปล่า ที่เอวมีน้ำเต้าสีแดงขนาดใหญ่ห้อยอยู่
“ศิษย์น้องคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง ลูกหลานตระกูลขุนนางเหล่านี้มีแววบ้างไหม” ชายที่สวมชุดนักปราชญ์ มองดูบรรดาเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยที่อยู่ไกลๆ แล้วถามขึ้นมา
“ฮึ! ศิษย์พี่กุยก็รู้อยู่แล้วยังจะถามข้าอีกทำไม ยังไม่ผ่านพิธีเปิดจิตวิญญาณ ตอนนี้จะดูออกได้อย่างไร ปีที่แล้วๆมาสาขาแต่ละแห่งไม่ใช่ว่ารอหลังพิธีเปิดจิตวิญญาณแล้วค่อยเลือกคนหรอกหรือ ครั้งนี้ศิษย์พี่รีบมาดูลูกหลานตระกูลที่ขุนนางเหล่านี้ก่อน แต่จะเลือกล่วงหน้าก่อนก็ควรเลือกศิษย์ที่นิกายเราฝึกฝนมาเองมิใช่หรือ?” ใบหน้าอันอวบอ้วนของชายที่ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงมีรอยยิ้มนิดๆ พอได้ยินเช่นนี้ก็บ่นพึมพำเบาๆ
“เจ้าไม่ใช่ไม่รู้ว่าสาขาของเราตอนนี้เป็นอย่างไร ศิษย์ที่ถูกวินิจฉัยว่ามีเก้าชีพจรจิตวิญญาณขึ้นไป ต่างก็ถูกสาขาอื่นจองตัวไปกันหมดแล้ว พวกเราจะแย่งกับพวกเขาได้อย่างไร อยากจะเลือกคนที่มีแววก็ต้องหาเลือกจากลูกหลานตระกูลขุนนางเหล่านี้ นอกจากนี้ข้ายังได้ยินมาว่ามีศิษย์ของผู้ฝึกปราณอิสระเข้าร่วมด้วย ตรวจสอบดูให้ละเอียด ไม่แน่เราอาจจะได้ตัวเขาไป” ชายในชุดนักปราชญ์สีขาวกล่าวขึ้นมา
“ถึงแม้ศิษย์พี่จะพูดได้มีเหตุผล แต่ว่าภายในระยะเวลาอันสั้นนี้จะสามารถมองอะไรออกได้ รอเสร็จจากพิธีเปิดจิตวิญญาณ เกรงว่าสาขาอื่นๆ ก็คงจะเกิดการแย่งชิงขึ้นมา” ชายผมเผ้ากระเซอะกระเซิงขมวดคิ้วกล่าวออกมา
……………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา