ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 9

“ไม่ว่าหัวหน้าตระกูลไป๋จะเป็นอย่างไร แต่ในเมื่อส่งนายน้อยท่านนี้มา คาดว่าคงจะวางแผนทุ่มสุดตัว เท่าที่ข้าทราบมา หลายปีมานี้กำลังของตระกูลไป๋เสื่อมถอยไปมาก แล้วยังทุ่มค่าใช้จ่ายเยอะขนาดนี้ นับว่าเป็นการเฉือดเลือดเฉือนเนื้อตนเองโดยแท้ นี่คงเป็นวิธีการเดียวของเขา เพราะว่าตระกูลไป๋นอกจากไป๋เยียนเอ๋อร์ที่เป็นศิษย์จิตวิญญาณแล้ว ลูกหลานคนอื่นๆ ของตระกูลก็ไม่มีใครผ่านพิธีเปิดจิตวิญญาณเลย แม้กระทั่งคนที่สามารถรอดชีวิตจากพิธีเปิดจิตวิญญาณก็มีแค่ไม่กี่คน ตระกูลไป๋คงตั้งความหวังไว้กับไป๋ชงเทียนคนนี้ไม่ใช่น้อย” ชายชรากล่าวขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ตระกูลไป๋เลือกนิกายปีศาจที่มีชื่อเสียงอยู่ระดับท้ายๆ นี้ คงเห็นว่าพิธีเปิดจิตวิญญาณของนิกายนี้เก็บค่าใช้จ่ายถูกกว่านิกายอื่นๆ แหละ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าท่านป้าอวิ๋นของข้าอยู่นิกายนี้ ข้าคงไม่มาเข้าร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณในครั้งนี้หรอก นิกายปีศาจวันๆ ล้วนติดต่อกับปีศาจ ข้าไม่ค่อยจะชอบนัก” หมิงจูทำปากมุ่ยยื่นออกมา สีหน้าแสดงไม่ความพอใจ

“หึ! ข้าบอกกับเจ้าตั้งกี่ครั้งแล้ว พิธีเปิดจิตวิญญาณเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ถึงแม้ว่าเจ้าจะฝึกได้ดีตั้งแต่เด็ก ก็ไม่สามารถรับรองได้ว่าชีพจรจิตวิญญาณของเจ้าจะผ่านพิธีเปิดจิตวิญญาณนี้ได้ ท่านป้าอวิ๋นของเจ้ามีหน้าที่ในพิธีเปิดจิตวิญญาณในครั้งนี้ พอถึงเวลาก็อาจจะพอช่วยเจ้าได้บ้าง ถึงแม้ไม่อาจจะช่วยให้เจ้าทะลุเข้าถึงทะเลแห่งจิตวิญญาณได้ แต่อย่างน้อยตอนที่เจ้าเผชิญกับภัยอันตราย ก็ยังจะสามารถช่วยรักษาชีวิตเจ้าไว้ได้ ตระกูลเราไม่ได้ขาดแคลนทรัพย์สมบัติอันใด มิฉะนั้นละก็อาจจะส่งเจ้าไปนิกายจันทราสวรรค์หรือนิกายอื่นๆ แล้วก็เป็นได้” ชายชราเสื้อเขียวกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น

“หมิงจูสำนึกผิดแล้ว” พอเห็นชายชราโกรธเข้า ดรุณีน้อยเสื้อม่วงก็ก้มหน้าต่ำลง ไม่กล้ากล่าวอะไรออกมาอีก

“ถึงแม้ตระกูลไป๋กับตระกูลมู่เรามีเรื่องขุ่นเคืองกันนั้นมีสาเหตุมาจากท่านอาหญิงของเจ้า แต่เราก็ต้องเห็นแก่หน้ากัน เมื่อถึงเทศกาลต่างๆ การแสดงความเคารพซึ่งกันก็ยังคงทำ ไป๋ชงเทียนท่านนี้ตระกูลไป๋ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก แสดงว่าความสามารถในการฝึกฝนของเขาคงไม่เลว ในพิธีเปิดจิตวิญญาณนี้ต้องสร้างความสัมพันธ์กับเขาด้วย ถ้าหากเขาเกิดเปิดจิตวิญญาณได้สำเร็จ ตระกูลไป๋กับตระกูลมู่ก็สามารถกลับมาเชื่อมสัมพันธ์อันดีดังเดิมได้ เรื่องของอาหญิงเจ้าถึงแม้จะเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ แต่เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว ตระกูลขุนนางอย่างพวกเราจะต้องไม่ใช้ความรู้สึกมาทำให้ความสัมพันธ์ขาดสะบั้นลง ควรเห็นแก่ผลประโยชน์ของตระกูลเป็นสำคัญ” ชายชราเสื้อเขียวค่อยๆ กล่าวอบรมสั่งสอนดรุณีน้อยเสื้อม่วงนางนี้

ถึงแม้ในใจของมู่หมิงจูจะยังคัดค้านอยู่ แต่ก็ทำได้แค่พยักหน้าทำเป็นเชื่อฟัง

ท่านอาสามท่านนี้เป็นถึงผู้ฝึกปราณขั้นสุดยอด ในตระกูลมู่ท่านมีอำนาจเป็นรองแค่หัวหน้าตระกูล เว้นแต่นางจะเข้าเป็นศิษย์จิตวิญญาณได้เท่านั้น มิฉะนั้นไหนเลยจะกล้าโต้แย้งท่านได้

แต่เพราะคำสั่งสอนอาสามท่านนี้ทำให้แม่นางดรุณีน้อยผู้นี้ รู้สึกโกรธเคืองไป๋ชงเทียนขึ้นมา

หลิ่วหมิงที่นั่งสมาธิอยู่ไกลๆ แน่นอนต้องไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในฝั่งตรงข้าม ยังคงฝึกควบคุมพลังภายในอย่างเงียบๆ

ถึงแม้เขาจะมีพรสวรรค์สามารถแยกจิตทำสองสิ่งไปพร้อมกันได้ตั้งแต่เด็ก แต่ว่าเวลาในการฝึกฝนค่อนข้างสั้นไปหน่อย คิดจะพัฒนาไปให้ได้มากกว่านี้ล้วนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ทั้งสองฝ่ายต่างก็พักผ่อนโดยไม่รบกวนซึ่งกันและกัน จนเวลาผ่านไปหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน ในระหว่างนั้นต่างฝ่ายต่างก็หยิบอาหารแห้งที่พกติดมากินกันอย่างรีบเร่ง

ตอนเที่ยงวันที่สอง ทางที่ตระกูลมู่เคยเดินขึ้นมานั้น บัดนี้มีคนเดินขึ้นมาอีกสองคน

คนที่เดินขึ้นมานั้นมีแค่ชายชราหนึ่งคน และเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น

ชายชราสวมเสื้อคลุมยาวสีเทา รอยย่นเต็มใบหน้า ในมือถือบ้องยาสูบยาวๆ หนึ่งด้ามที่มีถุงยาสูบห้อยอยู่

เด็กหนุ่มนั้นกลับมีอายุดูพอๆ กับหลิ่วหมิง สวมใส่เสื้อผ้าสีฟ้าใหม่เอี่ยมอ่อง สีผิวค่อนข้างดำ สีหน้าดูเป็นคนตรงไปตรงมา

พอเด็กหนุ่มเห็นคนมากมายมารออยู่ก็ก่อนแล้ว ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง

แต่ทว่าชายชราเสื้อเทากลับไม่รู้สึกแปลกใจเลย เขากวักมือเรียกเด็กหนุ่มแล้วหาที่นั่งพักผ่อน

“พวกเขาก็มาจากตระกูลผู้ฝึกปราณหรือ?” เมื่อเห็นเช่นนี้หลิ่วหมิงก็ถามออกมาอย่างอดไม่ได้

“ดูท่าทางแล้วไม่ใช่ คงเป็นผู้ฝึกปราณอิสระมากกว่า” หลังจากพี่ใหญ่กวนพินิจดูทั้งสองแล้วก็กล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม

“อ๋อ ไม่ใช่บอกว่าต้องเป็นลูกหลานตระกูลผู้ฝึกปราณท่านั้นหรือ ถึงจะสามารถเข้าร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณนี้ได้” หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจ

“ใม่ใช่เฉพาะตระกูลขุนนาง แต่โดยทั่วไปแล้วมีแค่ตระกูลขุนนางที่มีกำลังทรัพย์เพียงพอสำหรับจ่ายเพื่อให้มีชื่อเข้าร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณนี้ แต่ถ้าผู้ฝึกปราณอิสระก็มีกำลังทรัพย์ที่มากพอ ทางนิกายก็ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นน้อยมาก แต่ว่าพอเกิดขึ้นแล้วทางนิกายก็มักจะให้ความสำคัญกับบุคคลกลุ่มนี้มาก โอกาสการผ่านพิธีเปิดจิตวิญญาณมีมากกว่าศิษย์ที่มีชีพจรจิตวิญญาณในนิกายซะอีก” พี่กวนกล่าวเสียงเบาออกมา ดูเหมือนว่าจะประมาทสองคนนั้นไม่ได้เลย

“โอ้ ด้วยเหตุอันใดกัน” หลิ่วหมิงไม่ค่อยเข้าใจ

“เหอๆ สำหรับตระกูลผู้ฝึกปราณแล้ว การจ่ายเพื่อให้มีชื่อในพิธีการนี้อาจจะถึงขั้นเฉือนเลือดเฉือนเนื้อของตัวเอง แต่สำหรับผู้ฝึกปราณอิสระแล้ว กลับเป็นการนำทรัพย์สมบัติที่สะสมมาหลายชั่วอายุคนมาใช้เพื่อเข้าร่วมพิธีการนี้ หากลูกหลานไม่เก่งกาจจริงๆ และโอกาสในการผ่านมีไม่ถึงสามในสี่ส่วน พวกเขาก็จะไม่นำมาเดิมพันอย่างแน่นอน” ครั้งนี้กลับเป็นเจ้ากู่ที่หัวเราะเหอๆ แล้วกล่าวออกมา

“พูดแบบนี้ แสดงว่าฝ่ายตรงข้ามต้องมีความเชื่อมั่นอย่างน้อยหนึ่งในสาม ว่าสามารถกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณได้” เมื่อหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนั้น ก็แอบตกใจเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะหันไปมองชายชราและเด็กหนุ่มผู้นั้นอีกรอบ แต่ก็มองไม่เห็นความผิดปกติอันใด

“ลูกหลานผู้ฝึกปราณอิสระเข้าร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณนี้ อาจมีเกิดขึ้นได้ทุกครั้ง แต่มีจำนวนไม่มาก คิดไม่ถึงว่านายน้อยกับคนผู้นั้นจะมาร่วมพิธีนี้พร้อมกัน ถ้าหากเป็นไปได้ควรจะทำความรู้จักเขาไว้ ไม่แน่อาจจะมีประโยชน์กับนายน้อยในภายหน้าก็ได้” พี่ใหญ่กวนลังเลครู่หนึ่ง แล้วหันไปกล่าวกับหลิ่วหมิง

“ข้ารู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร” หลิ่วหมิงหันไปดูชายชราและเด็กหนุ่มผู้นั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกรอบ จากนั้นก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก

อีกด้านหนึ่ง อาสามของตระกูลมู่ก็รู้สึกตกใจที่ดูออกว่าชายชราและเด็กหนุ่มนั่นเป็นผู้ฝึกปราณอิสระ แล้วก็หันไปกำชับกับดรุณีน้อยเสื้อม่วงเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีเวลาส่งคนไปทักทาย

ในบรรยากาศที่แปลกประหลาดเช่นนี้ คนทั้งสามกลุ่มต่างก็นั่งรออยู่บนยอดเขา โดยไม่ไปรบกวนกันดังเช่นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งน้ำคลอง

จนเวลาผ่านไปอีกหนึ่งวันกับหนึ่งคืน ช่วงที่ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้นมีเสียงดังกระหึ่มดังมาจากที่ไกลๆ ตอนแรกเสียงยังเบาๆ อยู่ พริบตาเดียวก็กลายเป็นดังสนั่นจนหูจะหนวกเลยทีเดียว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา