ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 8

“ในเมื่อนายน้อยควบคุมพลังภายในขั้นต้นได้ ต่อไปก็สามารถใช้อาวุธอาญาสิทธิ์ฝึกฝนวิชาการป้องกันตัวอื่นๆ ได้แล้ว แต่ถ้าอยากใช้เวลาเพียงสั้นๆ นี้ฝึกให้เชี่ยวชาญแล้วล่ะก็ ข้าแนะนำให้ฝึกแค่สองสามวิชาก็พอ อย่างไรซะเคล็ดวิชาที่ข้าเรียนมาล้วนเป็นเคล็ดวิชาธรรมดาๆ อยู่แล้ว รอเข้านิกายได้แล้วจะต้องมีอาวุธอาญาสิทธิ์ที่ดีกว่านี้ให้เจ้าได้เลือกอย่างแน่นอน” พี่ใหญ่กวนกล่าว

“ได้ ถ้าอย่างนั้นนอกจากวิชาโจมตีหนึ่งวิชาแล้ว ที่เหลืออีกสองวิชาให้เป็นวิชาป้องกันตัวเถอะ งั้นข้าเลือกวิชาปราการคุ้มกัน กับวิชาตัวเบาก็แล้วกัน” หลิ่วหลิงก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ดังนั้นจึงกล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล

“ตกลง วิชาการโจมตีนั้นไม่ต้องเลือก เพราะอาวุธอาญาสิทธิ์แต่ละแบบล้วนมีวิธีการโจมตีอยู่แล้ว แค่รวบรวมพลังภายใน แล้วส่งพลังผ่านอาวุธอาญาสิทธิ์เท่านั้น เช่นถุงมืออาญาสิทธิ์ของข้าชิ้นนี้ พลังที่โจมตีออกไปล้วนเป็นพลังภายใน กระบี่ดาบอาญาสิทธิ์ของเจ้ากู่ก็รวบรวมพลังภายในแล้วก่อเป็นแสงคมกระบี่โจมตีออกไป ในส่วนของห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ของนายน้อยนั้น นับว่าเป็นอาวุธอาญาสิทธิ์ชนิดที่หายาก ข้าเองก็ไม่เคยเห็นกับตา แต่อานุภาพก็คงรุนแรงไม่น้อย ต่อไปข้าจะสอนเคล็ดวิชาสองสามอย่างให้กับเจ้า เจ้าค่อยๆ ไปวิเคราะห์ ตรงไหนที่ไม่เข้าใจข้าทั้งสองจะช่วยอธิบายให้กระจ่างแจ้ง” พี่ใหญ่กวนอธิบายให้ฟัง

“ตอนที่ต่อสู้กับศัตรู ไม่ว่าจะใช้อาวุธอาญาสิทธิ์แสดงศักยภาพอะไรออกมารับมือก็ตาม ต้องระวังกำลังของตัวเองที่สามารถใช้อาวุธอาญาสิทธิ์นั้น พวกเราผู้ฝึกปราณเมื่อเทียบกับศิษย์จิตวิญญาณและอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว พลังภายในของเรามีค่อนข้างจำกัด ทุกครั้งที่ใช้อาวุธอาญาสิทธิ์เราต้องเสียพลังภายในไปมาก โดยเฉพาะนายน้อยที่เพิ่งเป็นผู้ฝึกปราณขั้นต้นนี้ เกรงว่าใช้อาวุธอาญาสิทธิ์แค่สามสี่ครั้ง พลังภายในก็หมดแล้ว และผู้ฝึกปราณที่ไม่มีพลังภายในจะแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาแค่นิดเดียวเท่านั้น นายน้อยต้องจำไว้ให้ดี”

“ตามที่กล่าวมา พวกเราผู้ฝึกปราณไม่จำเป็นต้องมีอาวุธอาญาสิทธิ์ชิ้นที่สองแล้ว ยิ่งมีอาวุธอาญาสิทธิ์เยอะก็ไม่ได้หมายความว่าจะยิ่งแข็งแกร่ง” หลิ่วหมิงค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจ

“โดยปกติแล้วเป็นแบบนี้ ในเมื่อพลังภายในของผู้ฝึกปราณขั้นต้น และขั้นกลาง มีข้อจำกัด ถึงแม้จะมีอาวุธอาญาสิทธิ์หลายชิ้นก็ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรมากมาย แต่สำหรับผู้ฝึกปราณขั้นสูงและขั้นสุดยอด พวกเขามีพลังภายในมาก ถ้าในมือมีอาวุธอาญาสิทธิ์หลายชิ้น เวลาต่อสู้กับศัตรูก็ต้องพลิกแพลงวิธีการที่หลากหลายในการเผด็จศึกกำชัยชนะอย่างรวดเร็วเป็นธรรมดา แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็สามารถใช้อาวุธอาญาสิทธิ์ได้เพียงหนึ่งชิ้นเท่านั้น ได้ยินมาว่าศิษย์และอาจารย์วิญญาณเหล่านั้น เหมือนกับจะมีวิธีข้ามข้อจำกัดเหล่านี้ไปได้ แต่มันค่อนข้างคลุมเครือ ซึ่งผู้ฝึกปราณขั้นกลางธรรมดาอย่างข้าไม่อาจรู้ได้ำ” เจ้ากู่กล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ขอบคุณท่านทั้งสองที่ชี้แนะ ข้าพอจะเข้าใจบ้างแล้ว ต่อไปข้าจะต้องระวังเรื่องเหล่านี้ให้มาก” หลิ่วหมิงยกมือขึ้นคารวะ แสดงสีหน้าเคารพอย่างสุดซึ้ง

……

สองเดือนต่อมา ทางขรุขระบนภูเขายักษ์อันดำมืดลูกหนึ่ง พวกของหลิ่วหมิงทั้งสามคนกำลังเดินขึ้นเขาลูกนั้นอย่างช้าๆ

ทางเดินบนเขาลูกนี้หวาดเสียวเป็นพิเศษ ทั้งสองข้างทางล้วนเป็นผาสูงชันที่มองไม่เห็นตีนผา และทางเดินก็คับแคบเป็นอย่างมาก เดินได้แค่ครั้งละหนึ่งคนเท่านั้น และบันไดหินแต่ละขั้นเนื่องจากไม่มีคนเดินมาหลายปีจึงเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำสีดำเขียว ทำให้ทางเดินสายนี้ลื่นเป็นพิเศษ

ถ้าไม่ใช่ว่าทั้งสามเป็นผู้ฝึกปราณที่ร่างกายว่องไวปราดเปรียวกว่าคนปกติล่ะก็ เกรงว่าคงลื่นล้มไปไม่รู้สักกี่รอบแล้ว หรืออาจจะตกลงไปในหน้าผาไปแล้วก็ได้

แม้แต่พี่ใหญ่กวนกับเจ้ากู่ก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ในเวลาเพียงไม่นานหยาดเหงื่อก็ไหลเต็มหลังของพวกเขา

แต่เด็กหนุ่มที่เดินอยู่ตรงกลางระหว่างเขาสองคน หน้าตานิ่งสงบราวกับไม่สนใจอันตรายที่เผชิญอยู่ข้างหน้าเลยแม้แต่น้อย

ทั้งสองคนรู้สึกประหลาดใจมาก แอบเลื่อมใสในความกล้าหาญของเด็กหนุ่มอยู่ในใจลึกๆ

แต่สำหรับหลิ่วหมิงแล้วเมื่อเทียบกับการหนีเอาชีวิตรอดบนเกาะมฤตยูตอนนั้นแล้ว อันตรายที่เจอในตอนนี้แทบจะเทียบไม่ติดกับตอนนั้นเลยแม้แต่น้อย

หลังจากที่ทั้งสามคนเดินไปได้สองชั่วยาม ในที่สุดก็มาถึงยอดเขายักษ์แห่งหนึ่ง

หลังจากสังเกตดูแล้ว ทั้งสามคนก็เกิดอาการงงงันจนตาค้าง

ถึงแม้บนยอดเขาจะมีพื้นที่เรียบกว้างหลายหมู่[1] แต่พื้นที่โล่งกว้างนี้กลับไม่มีเงาของคนแม้แต่คนเดียว

“เจ้ากวน เจ้าคงไม่ได้พามาผิดที่นะ ที่นี่คือจุดนัดพบที่ทางนิกายแจ้งไว้หรือ? ” คิ้วของหลิ่วหมิงขมวดเข้าหากันแล้วถามออกไป

“นายน้อย เรื่องใหญ่ขนาดนี้ข้าจะจำสถานที่ผิดได้อย่างไร” พี่ใหญ่กวนเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก แล้วยิ้มเหยๆ

“ตอนนี้เหลือเวลาอีกเท่าไหร่ถึงจะถึงวันนัดพบที่นิกายกำหนดไว้” หลิ่วหมิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามขึ้นมา

“ยังเหลือเวลาอีกสองวัน” ครั้งนี้เจ้ากู่เป็นคนกล่าวออกมา

“ในเมื่อยังมีเวลา งั้นรออยู่ที่นี่ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีเถอะ” หลังจากที่หลิ่วหมิงกวาดสายตามองไปรอบๆ พื้นที่บนยอดเขานี้แล้วก็ตัดสินใจกล่าวออกมา

ตอนนี้เขาแสดงตนเป็นนายน้อยของตระกูลไป๋อย่างชัดเจนแล้ว

พี่ใหญ่กวนและเจ้ากู่ต่างก็ไม่คัดค้านความคิดเห็นนี้

ดังนั้นทั้งสามจึงมองหาหินก้อนที่สะอาดแล้วนั่งพักลงไป

เวลาค่อยๆ ผ่านไป ไม่นานพระอาทิตย์ก็โผล่ขึ้นมาเหนือศีรษะ ตอนนี้ถึงเวลาเที่ยงวันแล้ว

ณ ช่วงเวลาขณะนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากด้านหนึ่งของยอดเขา

มองไปเห็นเพียงแค่ทางขึ้นเขา ครู่เดียวเงาคนก็โผล่แวบขึ้นมา จากนั้นก็ปรากฏร่างคนห้าคนเดินขึ้นมา

คนที่เดินขึ้นมานั้นมีชายฉกรรจ์สองคน ชายชราหนึ่งคน หญิงวัยกลางคนหนึ่งคน และดรุณีน้อยเสื้อม่วงที่พวกเขายืนล้อมอยู่

ชายฉกรรจ์สองคนรูปร่างกำยำเป็นพิเศษ สวมเสื้อคลุม และมีมีดเหน็บอยู่ที่เอว

ชายชราสวมเสื้อคลุมยาวสีเขียว หน้าตาผ่ายผอม ดวงตาทั้งคู่หรี่นิดๆ ไว้เคราแพะ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา