ตอน ตอนที่ 7 ควบคุมพลังภายใน จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 7 ควบคุมพลังภายใน คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
หลิ่วหมิงหยิบห่วงนั้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าแสดงความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเป็นอย่างมาก
ห่วงวงนี้เบามาก เบาราวกับว่าไร้น้ำหนัก
“นี่คืออาวุธอาญาสิทธิ์ของนายน้อยท่านนั้นหรือ?” หลิ่วหมิงพินิจดูห่วงที่อยู่ในมือแล้วถามขึ้น
“ถูกต้อง ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์เป็นอาวุธอาญาสิทธิ์ชั้นสูงที่มีทั้งพลังโจมตีและป้องกันที่น้อยคนจะได้พบเห็น ติดอันดับหนึ่งในสิบอาวุธอาญาสิทธิ์ชั้นสูงของตระกูลด้วยไป๋ด้วย” เจ้ากู่มองห่วงเขี้ยวพยัคฆ์แล้วกล่าวออกมา ใบหน้าแสดงความรู้สึกเสียดายนิดๆ
“แต่ถ้าน้องชายอยากใช้มัน เกรงว่าจะต้องฝึกวิชาควบคุมพลังภายในขั้นต้นก่อน เคล็ดวิชานี้ข้าและเจ้ากู่สามารถถ่ายทอดและชี้แนะให้เจ้าได้ในระหว่างเดินทาง พวกข้าจะทำให้เจ้าใช้อาวุธอาญาสิทธิ์นี้ได้โดยเร็วที่สุด” พี่ใหญ่กวนกล่าว
“ข้าน้อยต้องขอขอบคุณท่านผู้อาวุโสทั้งสองแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวขึ้นด้วยความดีใจ จากนั้นนำห่วงเขี้ยวพยัคฆ์สวมไว้ตรงข้อมือข้างขวา เขาสัมผัสได้ถึงความเยียบเย็นของห่วงเขี้ยวพยัคฆ์นี้
“ดีมาก แต่ตอนนี้หน้าตาเจ้ามีปัญหานิดหน่อย ต้องทำการปรับแต่งเล็กน้อย เพื่อป้องกันคนในนิกายจับพิรุธได้” พี่ใหญ่กวนพยักหน้ากล่าวออกมาหลังจากมองหน้าของหลิ่วหมิง
“ปรับแต่งแบบใดกัน?” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้หัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันทันที
ถึงแม้ว่าหน้าตาของเขาจะธรรมดา แต่ก็ไม่อยากให้ใครมาทำอะไรกับหน้าตาของเขา
“เหอๆ น้องชายเจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ทำลายรูปโฉมเดิมของเจ้าหรอก แค่เปลี่ยนผมและสีผิวเล็กน้อยเท่านั้น เรื่องแบบนี้น้องสามข้าถนัด ให้เขาจัดการเถอะ” เหมือนกับว่าพี่ใหญ่กวนดูออกว่าหลิ่วหมิงรู้สึกกังวลกับเรื่องนี้ จึงยิ้มแล้วอธิบายออกมา
“ถ้าหากเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีปัญหา ผู้อาวุโสกู่ รบกวนท่านแล้ว” หลิ่วหมิงรู้สึกคลายกังวลไปเปราะหนึ่ง
“ฮ่าๆ นี่แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ตอนที่ข้ายังไม่ได้เป็นผู้ฝึกปราณ เคยได้ชื่อบุรุษร้อยหน้าเชียวนะ” เจ้ากู่หัวเราะแล้วกล่าวออกมา
พร้อมกลับหมุนตัวไปด้านหลัง แล้วหยิบกระปุกต่างๆ และมีดกรรไกรที่คมพิเศษ จากนั้นจึงกวักมือเรียกเด็กหนุ่ม
หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะลุกเดินเข้าไปหา
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ด้านหน้าของหลิ่วหมิงมีกระจกทองแดงส่องประกายแวววาว ใบหน้าเขาปรากฏอย่างแจ่มชัดบนกระจกบานนั้น
“คิ้วดูบางกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย จอนผมที่เคยรกถูกจัดใหม่จนเป็นระเบียบ ขณะเดียวที่หน้าผากก็มีแถบสีเงินคาดอยู่ ทำให้บุคลิกดูภูมิฐานขึ้นมามาก แต่ที่เปลี่ยนไปมากที่สุดคือ…”
หลิ่วหมิงยกมือทั้งสองข้างขึ้น มือที่เคยดูแข็งแรงตอนนี้กลับขาวผ่องเป็นพิเศษ ดูเหมือนลูกหลานตระกูลขุนนางที่ถูกเลี้ยงดูอย่างดีมาแต่เด็ก
“น้ำยาล้างผิวขวดนี้เจ้ารับไว้ ใช้ขัดถูร่างกายทุกคืนคืนละครั้ง ในระหว่างทางข้าจะผสมให้เจ้าอีกสองสามขวด เมื่อเดินทางถึงที่ตั้งของนิกายปีศาจสีผิวก็คงอยู่ตัวแล้ว หลังจากนั้นถ้าผิวมันจะค่อยๆ กับคืนสู่สภาพเดิมแล้วล่ะก็ คงไม่มีใครสังเกตเห็น หลายปีมานี้ถึงแม้จะไม่ได้ใช้วิชาแปลงโฉม แต่ดูแล้วฝีมือของข้าก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย” เจ้ากู่ใช้มือข้างหนึ่งถือกระจกบานนั้น แล้วยิ้มด้วยความพอใจ
พี่ใหญ่กวนที่ยืนข้างๆ พินิจพิเคราะห์ดูใบหน้าของเด็กหนุ่มแล้วก็แสดงสีหน้าพอใจออกมา
หลิ่วหมิงในตอนนี้เมื่อเทียบกับก่อนหน้านั้นแล้วดูดีขึ้นกว่าเดิมสองเท่า ขอแค่ไม่ใช่คนในตระกูลไป๋ที่รู้จักสนิทสนมคุ้นเคยกันแล้ว คนอื่นๆ คงไม่อาจจับพิรุธได้
ถึงแม้หลิ่วหมิงจะไม่เคยเห็นมาก่อนว่าหน้าตาของนายน้อยเป็นอย่างไร แต่พอเห็นสีหน้าพอใจของทั้งสอง ก็แสดงให้เห็นว่าการแปลงโฉมของเขาประสบความสำเร็จแล้ว ในใจก็ค่อยๆ รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา
ตอนนี้เขากับคนสองคนนี้ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ถ้าไม่สามารถปลอมแปลงผ่านด่านไปได้ล่ะก็ เกรงว่าชีวิตน้อยๆ ของตัวเองก็คงยากที่จะรักษาไว้ได้
“ฮ่าๆ จากนี้เป็นต้นไปเจ้าคือนายน้อยของพวกข้าแล้ว ห้ามเรียกว่าพวกข้าว่าผู้อาวุโสอะไรนั่นโดยเด็ดขาด เรียกพวกข้าสองคนว่าเจ้ากวนกับเจ้ากู่ก็พอ เพื่อป้องกันไม่ให้โดนจับพิรุธได้” พี่ใหญ่กวนกล่าวแบบตรงไปตรงมา
“ข้าน้อยรับทราบ” หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อย แล้วตอบรับอย่างหนักแน่น
……
หนึ่งวันต่อมา เรือลำเล็กสีเหลืองอ่อนลำหนึ่งไหลตามธารน้ำไปอย่างรวดเร็ว
บนเรือลำเล็กนี้ เจ้ากู่ใช้สองมือถือหางเสือบังคับทิศทางเรือไปด้วย สายตาทั้งสองก็มองเข้าไปยังห้องบนเรือไปด้วยตลอด
ในห้องบนเรือนั้น หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่และมีพี่ใหญ่กวนคอยชี้แนะ
บนโต๊ะเล็กๆ เตี้ยๆ ที่อยู่ด้านหน้าของเขาตัวหนึ่ง ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์วงนั้นถูกวางไว้ที่นั่นอย่างเงียบสงบ
ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็ส่งเสียงออกมา แขนสองข้างยกขึ้น นิ้วมือยื่นชี้ไปทางห่วงวงนั้น
เสียงดัง “กึก…กึก…”
ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์แค่สั่นเบาๆ อยู่บนโต๊ะ หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
พอหลิ่วหมิงเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น หัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันทันที
“ไม่เลว ช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้ สามารถส่งพลังภายในไปประสานกับห่วงเขี้ยวพยัคฆ์จนเกิดปฏิกิริยาขึ้นมาได้ ดูท่าเจ้าคงมีพรสวรรค์ในด้านการใช้อาวุธอาญาสิทธิ์ไม่น้อย” ชายที่นั่งอยู่อีกข้างในปรบมือแสดงความพึงพอใจออกมา
“ไม่ใช่บอกว่าข้ามีเวลาฝึกฝนแค่สองเดือนหรอกหรือ?” หลิ่วหมิงค่อยๆ ถามขึ้นมา
ด้วยความสัตย์จริง ในสายตาของเขาแล้วอย่างมากเด็กหนุ่มก็เป็นได้แค่ผู้ฝึกปราณขั้นกลาง แต่การฝึกควบคุมพลังภายในระยะการเดินทางอันยาวไกลนี้ กลับทำให้เขาค่อนข้างรู้สึกตกใจ
นอกจากเวลานอนแล้ว ดูเหมือนว่าหลิ่วหมิงจะกระตุ้นกำลังภายในให้ประสานกับห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ตลอดเวลา
แม้กระทั่งตอนกินข้าว ก็ยังสามารถมองเห็นแสงสีทองจางๆ ส่องประกายอยู่บนห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ที่ข้อมือของเด็กหนุ่ม
การฝึกฝนนี้เป็นการฝึกฝนที่จืดชืดน่าเบื่อชนิดหนึ่ง ทั้งยังต้องให้สมาธิขั้นสูง
ผู้ฝึกพลังปราณโดยทั่วไป ต่อให้มีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวแค่ไหน อย่างมากก็ทนฝึกได้แค่ไม่กี่ชั่วยาม ถ้าฝึกนานไปจิตใจก็เหนื่อยล้าและไม่เกิดสมาธิ ฝืนทำไปก็เท่านั้น ไร้ซึ่งประโยชน์
ทั้งสองคนรู้สึกแปลกใจมาก จึงถามหลิ่วหมิงว่าทำได้อย่างไร
แต่เด็กหนุ่มกลับตอบมาแบบเรียบๆ ง่ายๆ ว่าเขามีพรสวรรค์ในการแยกจิตให้ไปทำหน้าที่สองอย่างพร้อมกันได้ ทำให้เขาสองคนถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว
ตอนนี้พวกเขาทั้งสองรู้แล้วว่า ทำไมเด็กหนุ่มผู้ที่ไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะ ทำไมถึงฝึกพลังภายในได้ไม่ธรรมดาตั้งแต่ยังเยาว์เช่นนี้
……
หนึ่งเดือนต่อมา บนเนินดินที่สูงสิบจั้งกว่าๆ พี่ใหญ่กวนกับเจ้ากู่กำลังมองไปข้างหน้าอย่างใจจดใจจ่อ
สถานที่ไกลจากพวกเขาออกไปหลายสิบจั้ง หลิ่วหมิงหลับตาเดินลมปราณ และยกแขนข้างที่สวมใส่ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ขึ้น
ทันใดนั้น เมื่อเขาลืมตาขึ้นมา ค่อยๆ สะบัดข้อมือ เปล่งเสียงคำว่า “โล่คุ้มกัน” ออกมา
พริบตาเดียว ห่วงบนข้อมือก็ส่งเดียงดัง “วิ๊ง” ออกมา หลังจากแสงสีเหลืองสว่างออกมาแล้ว โล่กลมๆ เล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นมา และติดอยู่บนแขนของเขา
โล่สีเหลืองเรืองรองนี้ ล้วนเกิดจากการรวมพลังภายในของเขา
“ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว ถึงแม้จะเป็นวิชาการป้องกันตัวพื้นฐานง่ายๆ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าท่านสามารถควบคุมห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ขั้นต้นได้แล้ว เดิมทีคิดว่านายน้อยต้องใช้เวลาสองเดือนถึงจะมาถึงจุดนี้ได้ คิดไม่ถึงว่าระยะเวลาอันสั้นนี้กลับทำได้แล้ว” พี่ใหญ่กวนถอนหายใจยาวๆ ออกมา สีหน้ายังคงยากที่จะซ่อนอาการตื่นตะลึงนี้ได้
“นี่ก็ต้องขอบคุณท่านทั้งสอนที่คอยตั้งอกตั้งใจชี้แนะข้า ข้าถึงทำได้แบบนี้ ตอนนี้ข้ามีอาวุธอาญาสิทธิ์คุ้มกายแล้ว ทำให้มีความมั่นใจในการเข้าร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณมากขึ้น” หลิ่วหมิงยิ้มแล้วพูดอย่างดีใจ พร้อมสะบัดข้อมือ จากนั้นแสงรูปโล่กลมๆ ก็หายไป
……………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา