ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 6

“หึๆ แท้จริงแล้วข้าคือผู้ฝึกปราณขั้นกลาง มิเช่นนั้นแล้วข้าจะดูออกได้อย่างไรว่าน้องชายมีชีพจรจิตวิญญาณ” พี่ใหญ่กวนกล่าวขึ้นมา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ตนเองจะลงมือฆ่าเด็กหนุ่ม

“ข้าน้อยเองก็คิดไม่ถึงว่าตนเองก็เป็นผู้ฝึกปราณเหมือนกัน” หลิ่วหมิงกล่าวขึ้นมาเบาๆ สีหน้าแฝงแววซาบซึ้ง

“น้องชาย เจ้าน่าจะรู้ว่าผู้ฝึกปราณนั้นอยู่ในระดับต่ำสุดของผู้ที่มีชีพจรจิตวิญญาณ ด้วยอายุของเจ้าในตอนนี้ ถ้าหากว่าสามารถเข้าสู่ทะเลจิตวิญญาณได้ ก็จะได้เข้าเป็นศิษย์จิตวิญญาณของนิกาย” พี่ใหญ่กวนเห็นสถาณการณ์เป็นเช่นนี้ ก็รีบกล่าวด้วยคำพูดที่ดูแปลกประหลาด

“ศิษย์จิตวิญญาณ? นิกาย?” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเข้าหากัน ชื่อสองชื่อนี้เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

พี่ใหญ่กวนยิ้ม และกำลังคิดที่จะอธิบายให้เด็กหนุ่มเข้าใจ แต่ก็มีเสียงดังจากพุ่มไม้ที่อยู่ไกลๆ ชายรูปร่างผอม ตัวเล็ก กำลังถือถุงใบใหญ่เดินเข้ามา

“น้องกู่ รีบเข้ามาดูน้องหลิ่วหน่อย เขาไม่มีผู้ฝึกปราณชี้แนะ อาศัยการฝึกฝนด้วยตนเองจนได้พลังภายในขึ้นมา” พอพี่ใหญ่กวนเห็นเจ้ากู่ก็รีบกวักมือเรียก และกล่าวด้วยคำที่แฝงความหมายลึกซึ้ง

“มีเรื่องแบบนี้จริงๆ ด้วย นั่นเป็นเรื่องที่ดีมากทีเดียว” เจ้ากู่ก้าวเข้ามาไม่ได้เพียงกี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงพี่ใหญ่กวนกล่าวขึ้น ใบหน้าเผยความดีใจอย่างปิดไม่มิด

“ข้าน้อยคารวะผู้อาวุโสกู่!” หลิ่วหมิงไม่กล้าเมินเฉย โค้งตัวลงคำนับทันที

“ฮ่าๆ ไม่ต้องมากมารยาทหรอก พี่กวน ของที่ต้องการซื้อครบแล้ว นี่เป็นเพราะว่าวิชาตัวเบาของข้า ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ ต้องใช้เวลาไปกลับตั้งครึ่งค่อนวันถึงจะได้” เจ้ากู่ผายมือ เอาห่อผ้าโยนไปให้พี่ใหญ่แล้วกล่าวขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ

“ข้ารู้ว่าเจ้าทำได้ ถึงได้ให้เจ้าไปซื้อด้วยตนเอง ใช่สิ ที่นี่ไม่เหมาะแก่การพูดคุย ไปหาสถานที่เงียบสงบแล้วค่อยคุยกันดีกว่า” พี่ใหญ่กวนพยักหน้ากล่าวขึ้นมา

หลิ่วหมิงและเจ้ากู่ต่างก็ไม่คัดค้าน ดังนั้นทั้งสามคนจึงเก็บของแล้วเดินออกไปจากริมน้ำแห่งนั้น

ตอนเดินผ่านดินที่เพิ่งถมเสร็จใหม่ๆ หลิ่วหมิงสอดส่องสายตาดูไปทั่ว

คนธรรมดาไม่อาจพบความผิดสังเกตได้ แต่เด็กหนุ่มกลับได้กลิ่นคาวเลือด ถึงแม้จะเป็นแค่กลิ่นจางๆ ก็ไม่อาจรอดพ้นโสตสัมผัสของผู้ที่ผ่านประสบการณ์ฆ่าฟันมาหลายครั้งอย่างเขาได้

ในใจหลิ่วหมิงเย็นยะเยือก รู้ดีกว่าสิ่งที่โดนฝังอยู่ใต้ดินนี้ ต้องเกี่ยวข้องกับทั้งสองคนนี้อย่างแน่นอน พวกเขาทั้งสองดูเหมือนจะไม่ใช่ผู้อาวุโสใจดี แต่กลับปฏิบัติดีต่อเขาถึงเพียงนี้ เกรงว่าจะต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่เป็นแน่แท้

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ท้องฟ้าได้มืดลง ทั้งสามคนได้เข้ามาอยู่ในวัดร้างแห่งหนึ่ง และได้ก่อกองไฟขึ้นมาเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย

เจ้ากู่นำกระต่ายตัวหนึ่งที่ล่าได้ระหว่างทางมาผ่าท้องแล้วย่างบนกองไฟ

ทั้งสามนั่งล้อมอยู่ข้างกองไฟ ไม่นานนักกลิ่นอันหอมหวลของกระต่ายย่างลอยก็ไปทั่วทิศ

“คนที่เรียกตัวเองว่าศิษย์จิตวิญญาณ คือคนที่ผ่านพิธีเปิดจิตวิญญาณ และผ่านการเปิดชีพจรจิตวิญญาณจนเข้าสู่ทะเลแห่งจิตวิญญาณได้สำเร็จ เพราะเมื่อายุเกินสิบห้าปีชีพจรจิตวิญญาณจะคงตัว แล้วก็ไม่สามารถเข้าไปสู่ทะเลจิตวิญญาณได้ ดังนั้นพิธีเปิดจิตวิญญาณจึงมีการจำกัดอายุ และคนที่เข้าถึงทะเลจิตวิญญาณเท่านั้นถึงจะสามารถเปลี่ยนพลังภายในให้กลายเป็นพลังเวทย์ และพลังเวทย์นั้นถึงจะสามารถกระตุ้นวิชาและอาวุธจิตวิญญาณได้ และสามารถกลายเป็นเซียนในร่างมนุษย์ตามที่เล่าลือได้ นิกายก็คือสถานที่ฝึกฝนบ่มเพาะศิษย์จิตวิญญาณโดยเฉพาะ แต่คนธรรมดาโดยทั่วไปไม่อาจรู้ได้ มีตำแหน่งเหนือกว่าสิ่งใดๆ ในแคว้นแต่ละแคว้น นิกายบางนิกายมีอิทธิพลยิ่งใหญ่จนกระทั่งมีอำนาจสับเปลี่ยนตำแหน่งในราชสำนักด้วยคำพูดแค่หนึ่งคำ” พี่ใหญ่กวนไม่สนใจเนื้อกระต่ายที่ย่างอยู่ด้านหน้า แต่กลับเล่าความลับนี้ให้หลิ่วหมิงฟังอย่างฉะฉาน

“มีอำนาจสับเปลี่ยนตำแหน่งในราชสำนัก? ราชสำนักกุมอำนาจทางทหารทั้งแคว้น จะยอมรับปากเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร” หลิ่วหมิงสูดลมหายใจเข้าและถามกลับไปอย่างอดไม่ได้

“หึๆ นี่คือทุกสิ่งถูกกำหนดได้ด้วยพลัง คนในนิกายเหล่านั้นกับพวกเราผู้ฝึกปราณนี้ไม่เหมือนกัน ผู้ฝึกปราณต่อให้ฝึกจนเก่งกาจ เมื่อเจอกับกองทัพใหญ่อย่างมากก็แค่ฆ่าคนไปได้ไม่กี่คน สุดท้ายก็ต้องตาย แต่บรรดาศิษย์จิตวิญญาณและอาจารย์จิตวิญญาณมีความสามารถในการใช้สายฟ้า เปลวอัคคี และเรียกภูตผีปีศาจเป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่อาจคาดเดาได้ ทั้งยังสามารถทะยานฟ้าทะลุปฐพีได้อีก ต่อให้มีกองทัพทหารมากมายก็ไม่สามารถสกัดกั้นพวกเขาได้ และบรรดาเชื้อพระวงค์และขุนนางชั้นสูงเหล่านั้น ถ้าได้โดนยอดฝีมือหมายหัวล่ะก็ ก็ต้องตายสถานเดียว” เจ้ากู่หัวเราะแล้วกล่าวขึ้นมา

“แต่จะกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณได้นั้น ต้องผ่านพิธีเปิดจิตวิญญาณของนิกายเหล่านั้นก่อน และพิธีในแต่ละครั้งมักจะสิ้นเปลืองโอสถจิตวิญญาณที่ทางนิกายสะสมมาหลายปี ด้วยเหตุนี้นอกจากศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณที่ทางนิกายฝึกฝนเองสามารถร่วมพิธีได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายอันใดแล้ว ถ้าลูกหลานผู้มีชีพจรจิตวิญญาณอยากเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ จะต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลจึงจะสามารถเข้าร่วมได้ อีกไม่นานนี้ นิกายหนึ่งในแคว้นดินต้าเสวียนกำลังจะจัดพิธีเปิดจิตวิญญาณขึ้น”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” หลิ่วหมิวแววตาเป็นประกายคล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่ปริปากพูดต่อ

เมื่อเจ้ากู่ได้ยินดังนั้น กลับรู้สึกนั่งไม่ติดที่ หลังจากกรอกลูกตาไปมาแล้ว ก็ใช้คำพูดที่ยั่วยวนกล่าวออกไป

“น้องชาย เจ้าไม่อยากเข้านิกายเหรอ พอกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณแล้ว ไม่เพียงแต่มีพลังทะยานฟ้าทะลุปฐพี แต่ยังมีพลังชีวิตเพิ่มมากขึ้น ทำให้เจ้าอายุยืนยาวถึงสองร้อยกว่าปีเลยนะ”

“ท่านผู้อาวุโส ข้าน้อยเป็นแค่คนธรรมดา เพิ่งจะรู้ว่าตนเองเป็นผู้ฝึกปราณ จะกล้าคาดหวังกับเรื่องสำคัญเช่นได้อย่างไร อีกอย่างข้าไม่เคยเชื่อเรื่องที่ได้มาง่ายๆ โดยไม่ต้องลงมือกระทำเลย” เหนือความคาดหมายของเจ้ากู่ก็คือ เด็กหนุ่มกลับส่ายหัวกล่าวออกมา

คำพูดประโยคนี้ทำให้เจ้ากู่พูดไม่ออกไปชั่วขณะ

พี่ใหญ่กวนเห็นเจ้ากู่ รีบร้อนเช่นนี้ ก็ส่งสายตาจ้องมองไป หลังจากลังเลสักครู่ก็พูดกับเด็กหนุ่มโดยตรง

“น้องชายคงมองเห็นอะไรบ้างแล้วล่ะ บอกตามตรงนะ ที่เราสองคนช่วยชีวิตเจ้าเพราะมีจุดประสงค์อื่น แต่นี่ก็ถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับเจ้าด้วย ถ้าหากพลาดโอกาสนี้แล้ว เกรงว่าชาตินี้จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต น้องชาย เจ้าอยากฟังสักหน่อยไหม?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา