ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 5

สรุปบท ตอนที่ 5 ฟื้น: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

อ่านสรุป ตอนที่ 5 ฟื้น จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 5 ฟื้น คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

“ที่พี่ใหญ่พูดมาก็มีเหตุผล งั้นก็ทำตามนี้ละกัน หลังจากที่เราจัดการปัญหานี้ได้แล้ว เราจะหนีไปจากตระกูลไป๋ด้วยกัน” หลังจากดวงตาเล็กๆ ของเขาฉายแววประกาย เขาก็ตัดสินใจทำตามพี่ใหญ่กวนบอก

“ฮ่าๆ ต้องอย่างนี้สิ เจ้ากับข้าสองพี่น้องก็นับว่ารู้จักกันมานานแล้ว ถ้าหากไม่มีความมั่นใจ เรื่องแบบนี้เราจะไปทำได้อย่างไรล่ะ เจ้านำศพของนายน้อยฝังไปก่อน แต่พวกเสื้อผ้า อาวุธอาญาสิทธิ์และสิ่งของอื่นๆ ให้เก็บเอาไว้ ข้าจะช่วยชีวิตเจ้าเด็กนี่ ถ้าหากข้าไม่รีบเกรงว่าเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน เรื่องนี้ข้าก็ต้องใช้พลังภายในไม่ใช่น้อย” พี่ใหญ่กวนตบบ่าเจ้ากู่แล้วพูดออกมา

เจ้ากู่พยักหน้า แล้วก้าวยาวๆ ไปที่ปากหลุม

พี่ใหญ่กวนจัดการเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มด้วยความรวดเร็ว ปรากฏบาดแผลฉกรรจ์บริเวณหน้าอก หัวไหล่ หน้าท้อง และส่วนต่างๆ ของร่างกาย และมีรอยแผลเป็นทั่วร่างกาย

ถึงแม้ว่าเขาจะเคยเห็นบาดแผลมามากมาย แต่ก็สูดลมหายใจเข้าด้วยความตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ มือตบไปที่บริเวณบาดแผลของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็วอย่างไม่ลังเล โดยเริ่มตบช้าๆ หลังนั้นค่อยเพิ่มแรงมากขึ้นจนเกิดเสียงดังราวกับเสียงจุดประทัด

ชั่วประเดี๋ยวเดียวร่างกายเด็กหนุ่มก็แดงไปทั้งตัว แต่น้ำที่ขังอยู่ในช่องท้องกลับหายไปอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นพี่ใหญ่กวนก็หยุดการกระทำลง มือล้วงไปหยิบตลับไม้ตรงหน้าอกออกมาตลับหนึ่ง

เขาเคาะนิ้วมือลงไปที่ตลับไม้นั้น ฝาตลับก็เปิดออกมาด้วยเสียงดัง ”ป๊อก” ในตลับมีเข็มเงินปลายแหลมเล็กขนาดแตกต่างกันสิบกว่าเล่ม

นิ้วมือทั้งสองแค่ลูบที่กล่องไม้ด้วยความชำนาญ เข็มเงินเล่มหนึ่งก็ติดนิ้วมือขึ้นมา

สีหน้าของพี่ใหญ่กวนค่อนข้างเคร่งขรึม เพียงแค่ขยับแขนก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนทำให้เห็นเป็นภาพเบลอๆ เขาฝังเข็มลงไปทั่วร่างกายเด็กหนุ่ม

หลิ่วหมิงไม่รู้ว่าวิชาผนึกลมปราณโดนคลายผนึกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่รู้สึกปวดศีรษะราวกับว่ามันโดนผ่าแยกออกจากกัน ทั้งยังรู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายที่ร้อนเป็นไฟไปทั่วทุกส่วน แต่ผ่านไปไม่นานความเย็นสบายก็แผ่ไปทั่วร่าง ความเย็นสบายนี้ทำให้รู้สึกอยากส่งเสียงออกมา แต่ไม่อาจต้านทานความอ่อนล้าที่ถาโถมเข้ามาได้ เขาเลยสลบสไลไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่นอบหลับลึก ภาพเหตุการณ์ต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาในจิตใต้สำนึกเขามากมาย ในภาพเหล่านั้นมีรูปใบหน้าสามีภรรยาวัยกลางคนคู่หนึ่งที่มองเห็นอย่างเลือนลาง และยิ่งไปกว่านั้นยังมีหน้าตาของตัวแปลกประหลาดพูดภาษาอะไรไม่รู้ ล้อมรอบตัวเขาเต็มไปหมด

คู่สามีภรรยาวัยกลางคนคู่นั้นทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด

เด็กหนุ่มพยายามฟังว่าฝ่ายตรงข้ามคุยอะไรกันบ้าง แต่เสียงกระซิบกระซาบของเหล่าตัวประหลาดที่ล้อมรอบตัวเขา ทำให้เขาไม่อาจได้ยินเสียงนั้นได้ เขารู้สึกร้อนรนใจอยากเอามือปัดหน้าปีศาจเหล่านี้ออกไป แต่ทั้งตัวกลับไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้รู้สึกร้อนรนดังไฟลนก้น

เขาไม่อาจไม่รับรู้ได้ว่านานเท่าใดแล้วที่ตนเองตกอยู่ในสภาพแบบนี้ จนในที่สุดก็มีกระแสอุ่นๆ ไหลทั่วร่างกายจนเขาค่อยๆ ฟื้นตื่นขึ้นมา

เมื่อเขาลืมตาขึ้น ก็พบกับใบหน้าสี่เหลี่ยมของชายวัยกลางคนที่อยู่ใกล้กันแค่นิ้วมือเดียว

เมื่อชายหนุ่มเห็นดังนั้น จึงรีบส่งเสียงดังพูดกับหลิ่วหมิงทันที

“ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น รีบเดินลมปราณซะ ไม่อย่างงั้นความพยายามก่อนหน้าของข้าคงจะสูญเปล่า”

เมื่อหลิ่วหมิงได้ยินประโยคเช่นนี้ ก็รู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมา เขาไม่คิดอะไรมาก ปากเริ่มท่องคาถาบางอย่างที่ท่องจนชำนาญ แล้วค่อยๆ ขับกระแสอุ่นผ่านช่องท้องแล้วกระจายไปทั่วร่างกาย

ตอนนี้พี่ใหญ่กวนรู้สึกโล่งใจบ้างแล้ว เก็บฝ่ามือที่วางบนหน้าอกของเด็กหนุ่มกลับคืนมา แล้วลุกขึ้นยืนมองดูท่วงทีของหลิ่วหมิงเงียบๆ

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ใบหน้าซีดขาวผิดปกติของเด็กหนุ่มเริ่มมีเลือดฝาดขึ้น และลืมตามองไปยังพี่ใหญ่กวนอีกครั้ง

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิต มิเช่นนั้นข้าน้อยก็คงไม่สามารถรอดชีวิตมาได้” หลิ่วหมิงลุกขึ้นยืนแล้วค่อยๆ ก้มตัวลงขอบคุณ

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใครจากไหน แต่ในเมื่อมีบุญคุณช่วยชีวิตไว้ เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ

ในเวลานี้เด็กหนุ่มได้เห็นสถานที่ที่ตัวเองอยู่อย่างชัดเจน พบว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่ลุ่มลึกแห่งหนึ่งไม่ไกลจากริมน้ำ และบนตัวเขาก็ถูกเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เอี่ยมอ่อง บาดแผลหลายแห่งถูกพันเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังมีความรู้สึกเย็นๆ ที่บาดแผล แสดงว่าเขาใช้ยาชั้นดีมาทาบาดแผลให้

และผลข้างเคียงที่เกิดจากผนึกลมปราณที่เขากังวล หลังจากถูกผุ้อาวุโสท่านนี้รักษาให้แล้ว อาการบาดเจ็บภายในที่ควรจะกำเริบกลับถูกระงับเอาไว้

แม้ว่าฝีมือของผู้อาวุโสท่านนี้จะสูงส่งเป็นพิเศษ แต่ว่าสภาพภายในของเขาตอนนี้ถือว่ายังแย่มาก อาการบาดเจ็บอาจจะกำเริบได้ในเร็ววัน

ตอนที่เขาอยู่บนเกาะมฤตยูเขาได้เรียนรู้เคล็ดวิชาต้องห้ามจากเหล่านักโทษ แม้ว่ามันจะใช้ได้ผลกับศัตรูเป็นอย่างมาก แต่มันก็ค่อนข้างจะร้ายแรง สามารถพูดได้ว่าเป็นสิ่งที่ทำร้ายทั้งศัตรูและตนเองไปพร้อมกัน

ถ้าไม่ใช่ว่า ‘อาเฉียน’ ได้สอนการกำหนดลมปราณที่ทำให้พลังการฟื้นฟูร่างกายสูงกว่าคนธรรมดาทั่วไป เขาคงไม่กล้ารีบเร่งใช้เคล็ดวิชานี้บ่อยถึงเพียงนี้

เขาเชื่อว่าที่อาการไม่กำเริบจนถึงขั้นสิ้นชีวิตที่ริมแม่น้ำนั่น คงเป็นผลจากเคล็ดกำหนดลมปราณนิรนามนี้

พี่ใหญ่กวนเห็นเด็กหนุ่มสงบเงียบเช่นนี้ เขารู้สึกตะลังงัน แต่ก็ยิ้มให้เด็กหนุ่มแล้วก็กล่าวออกไปว่า

“ไม่เป็นไร สำหรับข้าและคู่หูข้า ถือว่าการช่วยเหลือเจ้านั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย”

“น้องชาย เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าผู้ฝึกปราณคือผู้ที่มีชีพจรจิตวิญญาณ แต่ว่าเจ้าคือผู้ที่มีชีพจรจิตวิญญาณขั้นต้น? ถ้าไม่ใช่ล่ะก็เจ้าไปได้วิธีฝึกมาจากไหนกัน ทั้งยังฝึกจนได้พลังภายในที่แข็งแกร่งขนาดนี้” พี่ใหญ่กวนหรี่ตามองไปยังเด็กหนุ่ม

“ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ว่าอะไรคือ ‘พลังภายใน’ แต่ตอนที่ข้ายังเด็กข้าได้รู้เคล็ดกำหนดลมปราณนิรนามมาโดยบังเอิญ มันทำให้ร่างกายมีพลังแข็งแกร่งมาก หลายปีมานี้ข้าฝึกมันมาโดยตลอด หรือว่านี่คือวิธีฝึกพลังภายในที่ผู้อาวุโสพูดถึง!”

หลิ่วหมิงรีบถามขึ้นมาด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง นี่ก็อาจจะเป็นไปได้ วิธีฝึกฝนพลังภายในถึงแม้จะถูกตระกูลผู้ฝึกปราณที่มีชื่อเสียงควบคุมดูแลมาโดยตลอด แต่เคล็ดวิธีการฝึกฝนขั้นต้นก็อาจรั่วไหลออกไปบ้าง น่าเสียดายจริงๆ ถ้าหากว่าน้องชายรู้วิธีการฝึกจากผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ และถ้ายังมีอาวุธอาญาสิทธิ์ติดตัวสักชิ้น ไอ้โจรพวกเหล่านั้นย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าเลยแม้แต่น้อย” พี่ใหญ่กวนส่ายหัวกล่าวขึ้นมา โดยไม่สืบสาวเรื่องราวจากเด็กหนุ่มอย่างจริงจัง

“วิธีการที่ผู้อาวุโสช่วยรักษาข้านั้น หรือว่ามันคือการใช้พลังภายใน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็แสดงว่าผู้อาวุโสก็เป็นผู้ฝึกปราณด้วยเหมือนกัน!” หลิ่วหมิงกล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้าที่เรียบสงบ แต่ในใจกลับรู้สึกกระวนกระวาย

ตอนหนีเอาชีวิตรอดได้เจอกับกับผู้ฝึกปราณ ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อน ตอนนี้ก็ดันมาเจออีก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเป็นอย่างยิ่ง

และเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ฝึกปราณ เขาเคยได้ยินเรื่องราวมากมายเหล่านี้จากเหล่านักโทษที่อยู่เกาะมฤตยูมาตั้งแต่เด็ก

จากคำพูดของพวกเขา ผู้ฝึกปราณเหล่านี้มีอยู่น้อยมากในแคว้นต้าเสวียน ปกติแล้วไม่ค่อยได้สัมผัสกับคนธรรมดาเท่าไหร่นัก แต่ละคนล้วนมีความสามารถยากจะคาดเดา บางคนสามารถใช้วิชาตัวเบาดังนกนางแอ่นเดินวิ่งไปบนยอดหญ้าได้ บ้างก็สามารถทำร้ายคนผ่านอากาศได้โดยตรง ที่เก่งกาจไปกว่านั้นดูเหมือนว่าจะสามารถทำให้ร่างกายมีพลังมหาศาลได้ ดาบหอกฟันแทงไม่เข้า ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ คนผู้เดียวสามารถเทียบเท่าได้กับจำนวนคนพันคน

และเครื่องหมายสัญลักษณ์หนึ่งเดียวของพวกเขาคือ เมื่อตอนที่พวกเขาแสดงความสามารถพิเศษเฉพาะออกมา ในมือล้วนมีอาวุธอาญาสิทธิ์แปลกประหลาด เวลาใช้มันก็จะมีลำแสงหลายรูปแบบสะท้อนออกมา

แน่นอนว่ามีผู้ฝึกฝนบางคนที่เก่งกาจถึงขนาดที่ไม่ต้องใช้อาวุธอาญาสิทธิ์ ก็สามารถใช้มือเปล่าในการแสดงศักยภาพดังกล่าวออกมาได้

ตอนนั้นหลังจากที่หลิ่วหมิงเห็นชายเสื้อน้ำเงินมีอาวุธอาญาสิทธิ์อยู่ในมือ เขาจึงวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว

ถ้าหากไม่วิ่งหนีล่ะก็ เกรงว่าเขาคงเสียชีวิตจากวิธีการโจมตีที่แปลกประหลาดเช่นนี้ไปนานแล้ว

และตอนนี้ผู้ที่อยู่ข้างหน้าเขากลับบอกว่าเขาเป็นผู้ที่มีชีพจรจิตวิญญาณ ทั้งยังเป็นผู้ฝึกปราณคนหนึ่งด้วย แบบนี้จะไม่ให้เขาตกใจได้อย่างไร

ดูคล้ายกับว่าในชั่วพริบตาเดียวนั้น เขาก็คิดถึงอาเฉียนที่เคยถ่ายทอดคาถานิรนามเหล่านั้นให้เขาทันที

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา