ตอนที่ 4 ตระกูลไป๋ – ตอนที่ต้องอ่านของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา
ตอนนี้ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 4 ตระกูลไป๋ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
“หึ! หนีออกไปจากแผ่นดินต้าเสวียนเหรอ? เจ้าคิดจริงๆ หรือว่า ‘โอสถหล่อเลี้ยงใจ’ ที่นายท่านมอบให้ทุกปีนั้นเป็นโอสถวิเศษ? เจ้าลองคิดถึงจุดจบของพวกที่ทรยศตระกูลไป๋ในปีนั้นสิ ไหนจะคนในครอบครัวข้าไม่ว่าเด็กหรือแก่ก็อาศัยอยู่ในตระกูลไป๋ทั้งสิ้น ถ้าข้าไปแล้วพวกเขาจะมีชีวิตรอดหรือ ถ้าข้าจำไม่ผิดนะ แม่นางที่เจ้าเพิ่งจะแต่งานเมื่อปีที่แล้ว ได้ตั้งท้องเมื่อต้นปีที่ผ่าน ท่านหมอเทวดาจางคนนั้นยังบอกว่ามีโอกาสแปดในสิบส่วนเป็นผู้ชายนี่” พี่ใหญ่กวนส่งเสียงหึออกมา ตอบกลับด้วยสีหน้าหม่นหมอง
“อันนี้ข้า…” เมื่อเจ้ากู่ได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นรดหัว ยืนนิ่งพูดไม่ออกเลยทันที
“ถ้าหากไม่ไหวจริงๆ ข้าก็พอจะมีวิธีที่ทำให้สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่โอกาสในการรักษาชีวิตนี้มีไม่ถึงสองในสิบส่วน ทั้งยังต้องใช้สมบัติทั้งหมดที่ข้าเก็บได้ในหลายปีมานี้” พี่ใหญ่กวนแววตาเป็นประกายก่อนกล่าวขึ้นมา
“ใช้สมบัติทั้งหมดที่มี แถมยังมีโอกาสรอดแค่สองในสิบส่วนเหรอ?” เมื่อเจ้ากู่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็แสดงความขมขื่นขึ้นมา
“หึ! นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าข้ากับฮูหยินมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน โอกาสรอดชีวิตอันน้อยนิดแทบจะไม่มีเลย ถ้าหากเจ้าไม่ยินยอมข้าก็ไม่ได้บังคับนะ” พี่ใหญ่กวนกล่าวอย่างเมินเฉย
”พี่ใหญ่ ท่านเข้าใจผิดแล้วล่ะ ข้าจะไม่รับปากได้อย่างไร” เมื่อเจ้ากู่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตกใจ และรีบยิ้มขอโทษ
“เข้าใจเหตุผลข้อนี้ก็ดีแล้ว เรื่องนี้จะช้าไม่ได้ ก่อนที่เรื่องนี้จะเข้าหูตระกูลไป๋ ข้ากับเจ้าจำเป็นต้องแอบเข้าไปในบ้านตระกูลไป๋ เพื่อรีบเตรียมพร้อมไว้ก่อน” ตอนนี้สีหน้าของพี่ใหญ่กวนดูผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย
ครั้งนี้เจ้ากู่ได้แต่พยักหน้าแทนการตอบรับ เพราะไม่กล้าแสดงอารมณ์ความรู้สึกอื่นๆ
หลังจากที่ทั้งสองหารือเรื่องแผนการเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยหน้าหลุมศพใหม่ พี่ใหญ่กวนล้วงมือไปยังอกเสื้อหยิบถุงมือหนังสัตว์ที่ไม่ทราบชื่อมาสวมใส่ หลังจากนั้นก็คำรามเสียงออกไป
ถุงมือสีเขียวส่องแสงประกายแสบตาขึ้นมา แสงพุ่งไปยังพื้นดินข้างหน้าอย่างรวดเร็วและรุนแรง
“ตู้ม” เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ก้อนดินและเศษหญ้าจำนวนนับไม่ถ้วนกระเด็นออกรอบทิศทาง หลุมลึกขนาดสามฉื่อปรากฏต่อหน้าชายทั้งสอง
เจ้ากู่เดินวนรอบหลุมศพหนึ่งรอบ แล้วเตะศพเหล่านั้นลงไปในหลุม
แต่พอถึงศพของนายน้อยก็เกิดความลังเลขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะดึงกระบี่ยาวในฝักออกมา
เจ้ากู่ใช้นิ้วชี้ลูบไปที่กระบี่ก็บังเกิดแสงสีเขียวกระจายออกมา
เขาบิดข้อมือรีบใช้กระบี่ทำอะไรบางอย่างกับศพของนายน้อย
แต่ ณ ขณะนั้นหูของพี่ใหญ่กวนที่ยืนด้านข้างกระดิกขึ้นมา สีหน้าเขาเปลี่ยนทันที พร้อมจ้องไปทางริมน้ำแล้วตะโกนออกไป
“ใคร? บังอาจมากที่มาแอบฟังพวกข้าสองคนคุยกัน!”
หลังพูดจบพี่ใหญ่กวนก็ชูหมัดขึ้นฟ้าทันที เกิดแสงประกายพร้อมกับอานุภาพกลุ่มมวลอากาศอันน่าหวาดหวั่นพุ่งปะทุออกมา
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น!
พุ่มหญ้าที่อยู่ห่างสิบกว่าจั้งสั่นไหวอย่างรุนแรง ร่างผอมอ่อนแรงคลานออกมาก่อนที่จะนอนฟุบตัวอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน
เมื่อพี่ใหญ่กวนเห็นดังนั้นก็ก้าวเท้าเข้าไปหา และเตะร่างนั้นพลิกไปหนึ่งตลบ ใบหน้าของเจ้าของร่างนั้นหงายขึ้นมา
ปรากฏใบหน้าของเด็กหนุ่มที่หลับตาทั้งสองข้าง นอนหมดสติ เสื้อผ้าขาดกระจุย เปียกปอนไปทั้งตัว
“หรือว่าจะวิ่งมาจากริมน้ำ? ดูจากสารรูปแล้วต่อให้ข้าไม่ลงมือก็คงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน พี่ใหญ่กวนก้มลงไปพินิจพิเคราะห์ดูตาทั้งสองข้างของเด็กหนุ่ม จนมั่นใจว่าเด็กหนุ่มไม่มีแรงจะต่อสู้กับเขาได้ ถึงค่อยโล่งใจ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็รีบจัดการเขาซะเถอะ คำพูดที่เขาได้ยินเมื่อครู่นี้มิอาจปล่อยให้รั่วไหลออกไปได้” เจ้ากู่ที่ยืนอยู่ข้างหลุมก็รู้สึกโล่งใจเหมือนกัน แต่ก็ไม่ลังเลที่จะกล่าวออกมา
“เจ้าไม่ต้องบอกข้าก็รู้ว่าควรจะทำอย่างไร เอ๋! หน้าตาของเด็กหนุ่มผู้นี้…” พี่ใหญ่กวนกล่าวอย่างฮึดฮัดไม่พอใจ พร้อมกับชูหมัดขึ้นมา แสงสว่างสีเขียวปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง แต่ตอนที่มองใบหน้าของเด็กหนุ่ม เขาก็แสดงสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้น หน้าตาของเขาเป็นอะไรหรือ” เมื่อเจ้ากู่เห็นดังนั้น ก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมา
“เจ้ามาดูก็จะรู้เอง” พี่ใหญ่กวนเก็บหมัด แล้วกวักมือเรียกเจ้ากู่มาดูด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
เจ้ากู่เห็นดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจมากขึ้นไปอีก รีบเอากระบี่ใส่ฝักข้างหลังแล้วเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
“พลังภายในปกป้องคุ้มครองกาย เจ้าเด็กนี้เป็นผู้มีชีพจรจิตวิญญาณจริงๆ ด้วย ดูเหมือนจะเป็นพลังภายในที่ค่อนข้างแข็งแกร่งด้วย” เจ้ากู่รู้สึกเหลือเชื่อกับเหตุการณ์นี้
“ฮ่าๆ ครั้งนี้ถือว่าฟ้าเปิดทางให้แท้ๆ เจ้ากู่ตอนนี้พวกเราไม่ต้องกลับไปที่ตระกูลไป๋แล้ว มีเจ้าเด็กนี่ชีวิตของพวกเราก็รอดปลอดภัยแล้ว” หลังจากพี่ใหญ่กวนมองดูเด็กหนุ่มบนพื้นแล้วก็เงยหน้าหัวเราะอย่างคนบ้าคลั่ง
“พี่ใหญ่กวน พี่ใหญ่หมายความว่าอย่างไร เจ้าเด็กนี้มีชีพจรจิตวิญญาณแล้วพวกเราจะรักษาชีวิตได้อย่างไร?” เจ้ากู่กะพริบตา ไม่เข้าใจความหมายของพี่ใหญ่กวน
“นายท่านจะเอาชีวิตเราไปทำไมล่ะ” หลังจากพี่ใหญ่หัวเราะจบแล้ว ก็รีบตอบกลับเจ้ากู่ทันที
“ก็เพราะนายน้อยเสียชีวิตภายใต้การคุ้มกันของเราไง” เจ้ากู่รู้สึกสับสนมากกว่าเดิม
“เฮ่อๆ แต่ว่าตอนนี้นายน้อยอยู่ที่นี่แล้วนี่” พี่ใหญ่กวนชี้นิ้วไปที่ยังเด็กหนุ่มที่นอนหมดสติอยู่ หัวเราะตอบกลับอย่างเยือกเย็น
“อะไรนะ ท่านหมายความว่า…” เจ้ากู่ก็ไม่ใช่คนโง่ เข้าใจความหมายของพี่ใหญ่ในทันที สีหน้าเขาขาวซีดมากขึ้นกว่าเดิมสามเท่า
“ถูกแล้ว เราก็ใช้แผนสลับตัว นำเจ้าเด็กนี่ไปยังนิกายปีศาจ จากนั้นก็มอบให้นิกายดูแล เราก็กลับตระกูลไป๋ได้อย่างสบายใจ แล้วบอกว่าเราได้ส่งนายน้อยถึงที่หมายเรียบร้อยแล้ว นายท่านเพียงได้รับจดหมายตอบกลับจากฝั่งนั้น ก็ไม่ติดใจสงสัยอะไรแล้ว” พี่ใหญ่กวนกล่าวอย่างใจเย็นกว่าปกติ
“จะทำแบบนี้ได้จริงๆเหรอ เจ้าเด็กนี่กับนายน้อยไม่ได้เหมือนกันทุกส่วน ถ้าหากว่าถูกจับได้จะทำอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น เรายังไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน เขาจะตอบรับทำเรื่องแบบนี้ง่ายๆ เชียวหรือ” เจ้ากู่กล่าวกระซิบกระซาบด้วยสีหน้ากังวล
“หึ! เจ้าจะกลัวอะไร? ขอแค่เจ้าเด็กนี้เข้าไปในนิกายได้ คนตระกูลไป๋อยากพบเขาก็ต้องใช้หลายปีถึงพบได้ ยิ่งไปกว่านั้นตามหลักของการทำพิธีเปิดจิตวิญญาณที่น่ากลัวนี้ เจ้าเด็กนี่ไม่เคยฝึกฝนมาโดยเฉพาะ มีโอกาสสูงที่จะเสียชีวิตในพิธีกรรมนี้ ด้วยเหตุนี้ข้าก็ไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว สำหรับรูปร่างของเขา เขาไม่จำเป็นต้องมีรูปร่างคล้ายนายน้อยทุกส่วน ขอแค่มีส่วนที่คล้ายกันก็พอ คนที่นิกายอาจเคยเห็นรูปร่างของนายน้อยเมื่อปีก่อน ตอนนี้อาจเปลี่ยนแปลงไปบ้างมันก็เป็นเรื่องปกติ ” พี่ใหญ่กวนกล่าวขึ้นด้วยความมั่นใจ
“แต่ถ้าเขาผ่านพิธีเปิดจิตวิญญาณ แล้วกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณขึ้นมา เราจะทำอย่างไร” เจ้ากู่ยังคงมีความลังเลอยู่บ้าง
“กลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณ? นี่เจ้ายังไม่ตื่นดีหรือ ในปีที่ผ่านๆ มา พิธีกรรมเปิดจิตวิญญาณนี้ จะมีลูกหลานตระกูลขุนนางสักกี่คนสามารถเข้าไปเป็นศิษย์จิตวิญญาณได้ ยิ่งไปกว่านั้น กลับไปครั้งนี้พวกเราต้องหาวิธีกำจัดพิษของโอสถหล่อเลี้ยงใจให้ได้ แล้วค่อยหาโอกาสหนีออกจากตระกูลไป๋ ถึงแม้เจ้าเด็กนี่จะไม่ตายและเรื่องนี้บานปลายขึ้นมา ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเราแล้ว เราสองคนแค่ต้องกำจัดภัยที่อยู่ข้างหน้าเราตอนนี้ เรื่องอื่นๆ ก็จะง่ายขึ้น ส่วนเรื่องการเกลี้ยกล่อมเจ้าเด็กนี่ สำหรับข้ากับเจ้าแล้วยิ่งเป็นเรื่องที่ง่ายเข้าไปใหญ่ อีกเดี๋ยวเราจะ…” หลังพี่ใหญ่กวนพูดจบ ก็โน้มตัวลงไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับเจ้ากู่
……………………………………….
[1] จุดตันเถียน คือ จุดเลือดลม มีอยู่ด้วยกันสามแห่งคือ ตรงกลางระหว่างคิ้วเรียกว่าตันเถียนบน บริเวณใต้หัวใจเรียกว่าตันเถียนกลาง บริเวณใต้ดือประมาณสามนิ้วเรียกตันเถียนล่าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา