หลิ่วหมิงมองส่งเยวี่ยชีแล้วจึงหมุนตัวกลับมา เขาพลิกมือเรียกป้ายประจำตัวสีดำขลับชิ้นนั้นที่ผู้อาวุโสกู่มอบให้มาพินิจดูครู่หนึ่ง จากนั้นจึงอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์หยดหนึ่งลงบนนั้น
ป้ายประจำตัวทอแสงสีดำจางๆ ออกมาชั้นหนึ่งแล้วยิงแสงพิสุทธิ์สายหนึ่งตกต้องบนประตูใหญ่ของถ้ำที่พักในทันใด
กึกๆ!
ประตูใหญ่ของถ้ำที่พักเปิดออกอย่างเชื่องช้า หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยแล้วเก็บป้ายประจำตัวไป เขาก้าวเท้าเดินเข้าไป ทันใดนั้นเสียงด้านนอกก็มลายหายไปสิ้น
เดินเข้าประตูไปได้ไม่กี่ก้าวก็เข้ามาถึงห้องโถงที่มีเสากลมต้นหนึ่ง หลิ่วหมิงมองรอบด้านแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ถ้ำที่พักแห่งนี้เห็นได้ชัดว่ามีห้องโถงตรงกลางเป็นศูนย์กลาง รอบด้านมีห้องศิลาแยกออกไปอยู่หลายห้อง บนประตูห้องศิลาแต่ละห้องเขียนตัวอักษรกำกับว่าทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดินไว้อย่างชัดเจน แล้วยังมีประตูของห้องศิลาสองห้องว่างเปล่าไม่มีตัวอักษร
เห็นชัดว่าที่นี่เป็นถ้ำที่พักซึ่งมีคนอาศัยอยู่ร่วมกันหลายคน
หลิ่วหมิงเรียกป้ายประจำตัวออกมา ด้านหลังมีอักษรกำกับอยู่อย่างที่คิดเขียนไว้ว่า “ทอง”
ตอนนี้เองประตูห้องที่เขียนคำว่าไม้กำกับอยู่ก็ส่งเสียงดังกึกถูกคนผลักออกมาจากด้านใน หญิงสาวงามผู้สวมชุดยาวสีแดงเพลิงคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน
หลังจากนั้นประตูห้องศิลาที่เขียนคำว่าน้ำ ไฟ ดิน กำกับอยู่ก็เปิดออกมาตามต่อกัน ผู้ฝึกฝนสามคนทยอยเดินออกมา คนหนึ่งคือผู้เฒ่าหลังค่อม อีกคนหนึ่งคือบุรุษผู้เปลือยท่อนบนสะพายคันศรใหญ่เฉียงอยู่บนแผ่นหลัง แล้วก็มีบุรุษหนุ่มผู้ใบหน้าหล่อเหลาอีกคนหนึ่ง ท่วงท่าที่ขยับดูสง่างามราวกับคุณชายจากโลกปุถุชนคนหนึ่ง
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองบนร่างสี่คนตรงหน้า ในใจตกใจเล็กน้อย ทั้งสี่คนนี้ล้วนพลังระดับแก่นเสมือนและมีพลังน่าตะลึง ทุกคนในที่นั้นพลังล้วนแข็งแกร่งกว่าเยวี่ยชีมากนัก
“เมื่อครู่ได้รับข่าวจากนิกายบอกว่าหน่วยบุกทะลวงของพวกเราได้รองหัวหน้ามาคนหนึ่ง คิดว่าคงจะเป็นท่านนี้สินะ?” หญิงสาวชุดแดงมองสำรวจหลิ่วหมิงอย่างไม่หลบเลี่ยงสักนิด แล้วเอ่ยขึ้นเช่นนี้
สิ้นเสียง ทั้งสี่คนก็หยุดยืนนิ่ง เหมือนยืนตามสบายแต่กลับตีวงล้อมหลิ่วหมิงไว้เลือนราง แรงกดดันจิตวิญญาณที่แผ่ออกมาเชื่อมต่อกันแล้วกดดันเข้าใส่หลิ่วหมิง
“ข้าน้อยหลิ่วหมิงจากยอดเขาลั่วโยว หากไม่มีหน้าใหม่คนที่สองมา เช่นนั้นก็คงเป็นข้าไม่ผิดแล้ว พวกท่านทั้งหลายล้วนเป็นสมาชิกของหน่วยย่อยที่เจ็ดหรือ?” หลิ่วหมิงดวงทอประกายวูบหนึ่ง แล้วก้าวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่งอย่างไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด เอ่ยขึ้นท่ามกลางพลังที่ทั้งสี่คนร่วมมือกันกดดันได้อย่างสบายๆ
ในแดนมายาเขามักจะประมือกับผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์อยู่เสมอ ไหนเลยจะสนใจแรงกดดันน้อยนิดนี้ของผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนกระจอกๆ สี่คน
ผู้เฒ่าหลังค่อมกับคุณชายผู้หล่อเหลาสบตากันครั้งหนึ่ง ในดวงตาฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย แรงกดดันจิตวิญญาณที่แผ่ออกมาจากบนร่างลดน้อยลงอย่างไม่รู้ตัว
“หลิ่วหมิงหรือ ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินคนเอ่ยถึงชื่อนี้มาก่อน ได้ยินว่าหลายปีนี้โด่งดังที่นิกายยิ่งนัก ฮ่าๆ พวกเราทั้งสี่คนตรงนี้คนไหนไม่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังในนิกาย ท่านอย่าได้คิดอาศัยชื่อเสียงข่มพวกเรา” หญิงสาวชุดแดงไม่ตอบคำถามของหลิ่วหมิงแต่กลับเอ่ยโต้อย่างเป็นอริเล็กน้อย
“ผู้แซ่หลิ่วมายังทางปีศาจร้ายแห่งนี้เพราะต้องการฝึกปรือพลังเท่านั้น ไม่มีเจตนาอื่น ส่วนตำแหน่งรองหัวหน้าอันใดนี้ล้วนเป็นคำสั่งของผู้อาวุโส หากทุกท่านต้องการและคิดว่าตนเหมาะกับหน้าที่ยิ่งกว่า ข้าก็ไม่ใช่ว่าจะยกให้ไม่ได้” หลิ่วหมิงเอ่ยเรียบๆ อย่างไม่สนใจไยดี
เดิมทีเขาก็ไม่ได้สนใจจะเป็นรองหัวหน้าอะไรอยู่แล้ว แต่สี่คนตรงหน้าพบหน้ากันก็ข่มกันทันทีเช่นนี้ เขาย่อมไม่เกรงใจอันใดเช่นกัน
“เหอะ คิดจะเป็นรองหัวหน้าของพวกเรา ท่านก็ต้องแสดงความสามารถสักหน่อยให้ประจักษ์บ้างกระมัง ขอลองฝีมือก่อนค่อยว่ากัน!” แม้หญิงสาวชุดแดงจะเป็นผู้ฝึกฝนสตรี แต่นิสัยกลับหุนหันพลันแล่นที่สุดในหมู่ทั้งสี่คน ร่างกายขยับวูบเดียวพลันก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“ซานเหนียง ให้ข้าลองพลังของสหายหลิ่วดีกว่า” บุรุษผู้สะพายคันศรแดงผู้นั้นยกมือขวางหน้าหญิงสาวชุดแดง สายตาทอประกายเย็นเยียบ ส่วนอีกมือหนึ่งพลิกจับข้อมือของหลิ่วหมิงไว้ดั่งสายฟ้าแลบ
ลมปราณและกายเนื้อของบุรุษผู้สะพายศรแดงล้วนหนาหนัก เห็นชัดว่าเป็นผู้ฝึกร่างที่หายากคนหนึ่ง
หลิ่วหมิงขยับคิ้ว แขนสะบัดเล็กน้อยก็หลบพ้นการคว้าจับของบุรุษได้อย่างง่ายดาย จากนั้นแกว่งแขนครั้งเดียวก็เกิดเงาเลือนรางหลายสาย ฝ่ามือย้อนกลับไปจับข้อมือของบุรุษผู้สะพายศรแดง
บุรุษผู้สะพายศรแดงเห็นหลิ่วหมิงสู้กับตนเองด้วยกำลังตรงๆ มุมปากก็เผยรอยยิ้มหยันเล็กน้อย
ครู่ต่อมาแขนสองข้างก็ปะทะกัน เสียงตุบดังขึ้น บุรุษผู้สะพายศรแดงรู้สึกว่ากำลังมหาศาลสายหนึ่งส่งผ่านมาจากบนแขน เลือดลมในร่างปั่นป่วนวูบหนึ่งจนถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างห้ามไม่ได้ ในใจตะลึงงัน
เมื่อย้อนกลับไปมองหลิ่วหมิง เขากลับยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางสบายๆ พร้อมกับยิ้มเล็กน้อยให้บุรุษร่างใหญ่
เมื่อครู่ทั้งสองคนล้วนไม่ได้ใช้พลังเวท อาศัยกำลังของกายเนื้อโจมตี
พวกหญิงสาวชุดแดงเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป
พวกเขาสี่คนทำงานร่วมกันอยู่ที่หน่วนย่อยแห่งนี้มานานแล้ว ต่างฝ่ายรู้จักพลังของอีกฝ่ายดีอย่างยิ่ง บุรุษผู้สะพายศรแดงเป็นผู้ฝึกฝนร่างชื่อดังแห่งยอดเขาทองคำ เป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสจางเม่า พละกำลังมหาศาลในร่างเพียงพอยกขุนเขาฉุดดึงสายน้ำ แม้จะนับไม่ได้ว่าเป็นผู้ฝึกร่างที่สุดยอดที่สุดในหมู่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นสมือนของกองทัพแสงทอง แต่อย่างน้อยก็ติดอันดับหนึ่งในห้า วันนี้ประมือกันกลับพ่ายแพ้ให้แก่หลิ่วหมิงในด้านพละกำลังซึ่งถนัดที่สุด นี่จะไม่ให้พวกเขาตกตะลึงได้อย่างไร
บุรุษผู้สะพายศรแดงใบหน้าทะมึนดุจสายน้ำในทันที เขาสูดหายใจลึก สองแขนมีเสียงเปรี๊ยะดังขึ้น กล้ามเนื้อฉับพลันขยายตัวหนาขึ้นกว่าตอนนี้อีกหนึ่งเท่า หลังจากนั้นเขาจึงยกแขน แสงสีแดงสายแล้วสายเล่าปะทุออกมาจากบนแขน ต่อยหนึ่งหมัดโจมตีใส่หลิ่วหมิงอย่างเชื่องช้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา