หลิ่วหมิงอยู่ที่เขตการค้าจนกระทั่งฟ้ามืดสนิทดวงจันทร์ลอยขึ้นกลางท้องฟ้าจึงกลับไปยังที่พัก
หลายวันหลังจากนั้น นอกจากทำสมาธิประจำวัน เวลาที่เหลือเขาล้วนเดินเที่ยวที่ต่างๆ ในเมืองอยู่ตลอด ไปหาผู้ดูแลของร้านรวงสนทนาปราศรัยค่อยๆ ทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับเมืองแสงทองและเขตใกล้เคียง
ในเวลาเดียวกันหลังจากการหยั่งเชิงครั้งก่อน เขากับสมาชิกสี่คนของหน่วยย่อยที่เจ็ดก็ค่อยๆ รู้จักคุ้นเคยกัน อย่างไรในสถานที่อันตรายโหดร้ายเช่นนี้ คนที่พลังแข็งแกร่งย่อมได้รับความเคารพมากกว่า
วันนี้เขากำลังสนทนาบางอย่างกับผู้ดูแลร้านขายของจิปาถะแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นป้ายที่เอวก็ส่งเสียงวิ้ง แล้วทอแสงสีดำสายแล้วสายเล่าออกมา กลางแสงสีดำปรากฏตัวอักษรขนาดเล็กหลายบรรทัด
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองตัวอักษร จากนั้นสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย หลังจากกล่าวลากับอีกฝ่ายแล้ว เขาก็หมุนตัวออกจากร้านทันที เท้ากระทืบครั้งหนึ่งร่างกายก็ลอยขึ้นจากพื้นมุ่งไปยังที่พักอย่างรวดเร็ว
เมื่อครู่ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนมอบหมายภารกิจหนึ่งให้หน่วยย่อยที่เจ็ด
หลังจากเวลาครึ่งก้านธูป หลิ่วหมิงก็รีบเร่งเดินทางมาถึงหน้าประตูที่พัก สมาชิกสี่คนที่เหลือของหน่วยย่อยที่เจ็ดยืนอยู่ที่ประตูแล้ว
“รองหัวหน้าหลิ่ว ท่านมาแล้ว” ผู้เฒ่าหลังค่อมกับคุณชายเยาว์วัยยิ้มเล็กน้อยแล้วคำนับให้หลิ่วหมิง
แม้หญิงสาวชุดแดงกับบุรุษผู้สะพายศรสีแดงจะท่าทางกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่ก็เข้ามาทักทาย
หลิ่วหมิงย่อมไม่ถือสา เขาพยักหน้าให้แล้วกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นด้านหลังร่างก็มีหวีดหวิวดังขึ้น
เมื่อพวกเขาหันกลับไปมองก็เห็นลำแสงสีเทาสายหนึ่งพุ่งมาถึง จากนั้นร่อนลงเบื้องหน้าพวกเขาไม่ไกล
ครั้นแสงสีเทาสลายไปเงาบุรุษผอมสูงผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้น คนผู้นี้ดูอายุราวสามสิบปี ใบหน้าซีดเหลือง แต่ดวงตาทั้งสองข้างของเขาดุดันประหนึ่งสายฟ้า เปล่งประกายเปี่ยมพลัง
“ทุกคนมาพร้อมแล้ว ดียิ่ง” บุรุษร่างผอมสูงกวาดสายตาบนร่างพวกเขา สุดท้ายสายตาก็จับอยู่บนร่างหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย คนผู้นี้เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้นคนหนึ่ง และแสงสีเทาสายนั้นเมื่อครู่ก็คือวิชาขี่กระบี่ซึ่งเขาคุ้นเคยเป็นที่สุด
สายตาของทั้งสองประสานกัน บนใบหน้าของบุรุษผอมสูงพลันเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย ดวงตาทอประกายวูบหนึ่ง จิตกระบี่อันแหลมคมสายหนึ่งก็พุ่งออกมาทันที
สองตาของหลิ่วหมิงเจ็บแปลบเล็กน้อยในทันใด อสนีบาตสีม่วงสายหนึ่งผุดออกมาจากร่าง จิตกระบี่น่าขนลุกสายหนึ่งทะลวงออกมาจากร่างเช่นเดียวกัน
จิตกระบี่สองสายปะทะกันดังกึกก้องกลางอากาศ เบื้องหน้าทั้งสองคนเกิดสายลมแรงที่มองไม่เห็นสายหนึ่งโหมพัด หลังจากนั้นก็สลายหายไปทั้งคู่อย่างรวดเร็ว
“ดี! ดูท่าคนผู้นี้คงเป็นรองหัวหน้าคนใหม่ของหน่วยเรา ศิษย์น้องหลิ่วหมิงสินะ? ได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของศิษย์น้องมานานแล้ว วันนี้ได้พบหน้าไม่ธรรมดาจริงๆ!” บุรุษร่างผอมสูงเก็บประกายเจิดจ้าในดวงตาไปแล้วหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้นมา
“ศิษย์พี่ชมเกินไปแล้ว ข้าน้อยหลิ่วหมิง คารวะหัวหน้าหมิ่น!” แสงสีม่วงบนร่างหลิ่วหมิงสลายหายไป จากนั้นเขาจึงประสานมือเอ่ยขึ้นมา
หลายวันนี้เขาได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับหัวหน้าหน่วยย่อยที่เจ็ดผู้นี้จากพวกผู้เฒ่าหลังค่อมมาอยู่บ้าง แต่ยังไม่ได้พบหน้ากันเสียที
หัวหน้าระดับแก่นแท้ล้วนมีที่พักส่วนตัว ไม่อยู่รวมกันกับพวกเขา
พวกผู้เฒ่าหลังค่อมสี่คนเห็นสถานการณ์เมื่อครู่อยู่กับตา ในดวงตาจึงเผยแววตาตกตะลึงออกมาเล็กน้อย หลิ่วหมิงดูเหมือนจะประจันหน้ากับบุรุษผอมสูงระดับแก่นแท้ได้อย่างสูสี ในใจทั้งสี่คนจึงให้ค่าหลิ่วหมิงสูงขึ้นอีก
“คารวะหัวหน้าหมิ่น” ทั้งสี่คนประสานมือคำนับครั้งหนึ่ง
“ทุกคนไม่ต้องมากพิธี ข้ากับพวกเจ้าเป็นศิษย์ร่วมนิกายเดียวกัน เพียงทำงานร่วมกันที่นี่เท่านั้น พิธีรีตองมากเกินกลับไม่ได้รู้สึกดีอะไร” บุรุษแซ่หมิ่นส่ายหน้าเอ่ยขึ้นมา
สายตาหลิ่วหมิงทอประกายวูบหนึ่ง นิสัยของบุรุษแซ่หมิ่นผู้นี้คล้ายกับฉิวหลงจื่ออยู่บ้าง ทั้งคู่ล้วนเป็นคนตรงไปตรงมา
“ในเมื่อทุกท่านมาแล้ว ข้าก็จะไม่พูดพร่ำ เมื่อครู่ทุกคนคงจะเห็นข้อความที่เบื้องบนแจ้งมาแล้ว ครั้งนี้นิกายมอบหมายภารกิจที่ตึงมืองานหนึ่งให้หน่วยย่อยของพวกเรา” บุรุษแซ่หมิ่นเอ่ยตามตรง
หลิ่วหมิงกลับไม่เปลี่ยนสีหน้าไปเท่าใดนัก แต่พวกผู้เฒ่าหลังค่อมสี่คนได้ยินเช่นนี้สีหน้าล้วนเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เมื่อครู่พวกเขาล้วนอ่านข้อมูลภารกิจกันหมดแล้ว เบื้องบนแจ้งว่าป้อมปราการแห่งหนึ่งที่แนวหน้าของเมืองแสงทองถูกกองทัพผีร้ายทำลาย งานของภารกิจครั้งนี้ก็คือไปค้นหาผู้รอดชีวิตกับของสำคัญชิ้นหนึ่งที่นั่น
พวกเขาสี่คนล้วนอยู่ในทางปีศาจร้ายมาหลายปีย่อมเข้าใจความอันตรายของภารกิจครั้งนี้
ป้อมปราการนอกเมืองแสงทองอยู่ลึกเข้าไปในทางปีศาจร้าย ป้อมปราการแนวหน้าสร้างขึ้นมาเพื่อส่งสัญญาณเตือนและเฝ้าระวังการบุกครั้งใหญ่ของกองทัพผีร้าย
แกนกลางของป้อมปราการแนวหน้าคือสมบัติประหลาดชิ้นหนึ่งที่ชื่อว่า ‘บาตรแห่งการสร้าง’ บาตรใบนี้จะเปลี่ยนปราณหยินในอาณาบริเวณเล็กๆ ของโลกแห่งนี้ให้กลายเป็นปราณจิตตวิญญาณที่จำเป็นสำหรับผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ มันจึงเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ขาดไม่ได้หากจะอยู่ในทางปีศาจร้ายเป็นเวลานาน หลายวันนี้หลิ่วหมิงรู้มาว่าแสงทรงกลมสีทองบนยอดหอสูงแห่งนั้นกลางเมืองหลักของเมืองแสงทองก็คือบาตรแห่งการสร้างพิเศษขนาดยักษ์ชิ้นหนึ่ง
เนื่องจากของสิ่งนี้หลอมไม่ง่าย ด้วยเหตุนี้กองทัพแสงทองจึงมีไม่มาก เมื่อป้อมปราการถูกตีแตก ชั้นจำกัดที่วางไว้ล่วงหน้าจะถูกกระตุ้น บาตรแห่งการสร้างจะเคลื่อนย้ายกลับมายังเมืองหลักของกองทัพแสงทองด้วยตนเอง แต่ครั้งนี้ไม่ทราบกองทัพผีร้ายใช้วิธีการอันใดก่อกวน แม้ของสิ่งนี้จะถูกเคลื่อนย้ายออกมาตอนที่ป้อมปราการถูกตีแตก แต่มันกลับไม่ได้เคลื่อนย้ายกลับมายังเมืองแสงทอง คาดว่าน่าจะร่วงอยู่สถานที่อื่น
เป้าหมายภารกิจครั้งนี้ของหน่วยย่อยของพวกเขาก็คือตามหาบาตรแห่งการสร้างที่สูญหายไปชิ้นนี้ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา