บนท้องฟ้ามืดครึ้มที่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ฉับพลันมีไอหมอกประหลาดสีแดงก่ำผืนหนึ่งปรากฏขึ้นแล้วบินอย่างรวดเร็วเข้ามาทางนี้
ไม่ว่าจะใช้จิตสัมผัสหรือเพ่งสายตามอง ทุกคนก็ไม่อาจมองเห็นของในไอหมอกชัด
หลิ่วหมิงฉุกคิดบางอย่างได้จึงขยับปากท่องมนตร์ ดวงตาทั้งสองข้างเกิดวงคลื่นสีดำ ภาพไอหมอกสีแดงก่ำในดวงตาของเขาชัดกระจ่างอย่างรวดเร็ว พวกมันคือผึ้งประหลาดขนาดหนึ่งฉื่อกว่าตัวแล้วตัวเล่า รูปร่างผอมแห้งและที่ก้นมีกระดูกแหลมสีขาวน่าขนลุกแท่งหนึ่ง ชวนให้คนตัวสั่นทั้งที่ไม่หนาว
“ผึ้งผีพวกนี้ดูค่อนข้างคุ้นตา…” หลิ่วหมิงเคยเห็นปีศาจอสูรประเภทผึ้งมามาก แต่ผึ้งผีที่เต็มไปด้วยลมปราณหยินพิษชนิดนี้ตรงหน้ากลับทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก เหมือนก่อนหน้านี้เคยเห็นสิ่งที่คล้ายกันที่ไหนมาก่อน
“ใช่แล้ว ที่แดนปีศาจปรโลกของนิกายปีศาจ!” หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย นึกขึ้นมาได้ในทันที
ตอนที่เขายังอายุน้อย แดนปีศาจปรโลกที่ปรมาจารย์ลิ่วยินแห่งนิกายปีศาจสร้างขึ้นก็มีสิ่งที่ชื่อว่าผึ้งผีอยู่ชนิดหนึ่ง รูปร่างภายนอกเหมือนกับผึ้งผีที่อยู่เบื้องหน้าทุกประการ เพียงแต่ขนาดตัวเล็กกว่ามากเท่านั้น
“จำนวนของผึ้งผีน่ากลัวว่าจะมีนับหมื่นตัว พวกเราต้องรีบเดินทาง อ้อมไปแล้วกัน” บุรุษหุ่นบึกบึนผู้เป็นหัวหน้าของหน่วยย่อยที่สิบเสนอขึ้นมา
ปราณหยินที่แผ่ออกมาจากผึ้งผีแต่ละตัวเหล่านี้ไม่อ่อนแอ แม้คนที่นั่นล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้กับแก่นเสมือน แต่หากถูกพวกมันตามติด คิดจะสลัดหนีก็คงไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ในชั่วครู่ชั่วยาม
คนอื่นพากันพยักหน้า ลำแสงฉับพลันลอยขึ้นสูง เหาะอย่างรวดเร็วผ่านด้านบนของฝูงผึ้งไป
เวลานี้ฝูงผึ้งผีก็ค้นพบพวกหลิ่วหมิงแล้วเช่นกัน กลุ่มเมฆสีแดงหม่นส่งเสียงหึ่งดังลั่นแล้วล้อมเข้ามาหาพวกเขา
ฝูงผึ้งผีครอบคลุมบริเวณหลายหมู่ แต่ยังดีที่ลำแสงของพวกหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวเร็วกว่าฝูงผึ้งเหล่านี้มากนักจึงหนีพ้นก่อนที่พวกมันจะไล่ตามทันได้อย่างหวุดหวิด
“ฟู่ นับว่าหนีพ้นแล้ว ผึ้งผีฝูงใหญ่เช่นนี้พบไม่บ่อยจริงๆ” เยวี่ยชีหันกลับไปมองฝูงผึ้งผีด้านหลังแล้วเอ่ยอย่างหวาดผวา
ในเวลานี้เองจู่ๆ กลางฝูงผึ้งผีก็มีผึ้งผีสีแดงขนาดเท่าโม่หลายสิบตัวบินออกมา พวกมันโถมเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ความเร็วเหนือกว่าพวกเดียวกันมาก ขยับเพียงไม่กี่ครั้งก็พุ่งมาถึงหลังร่างพวกเขาแล้ว
“ระวัง นี่เป็นแม่ทัพผึ้งในฝูงผึ้งผี พลังของแต่ละตัวล้วนทัดเทียมกับผู้ฝึกฝนระดับผลึก” ชายหนุ่มแซ่หมิ่นตวาดเสียงดัง เขาหมุนตัวอย่างรวดเร็วพร้อมกับที่มือตั้งท่าเคล็ดวิชาทันที แสงกระบี่สีเทาส่องสว่าง
แสงกระบี่สีเทาเส้นหนึ่งฉับพลันปรากฏขึ้น มันส่องสว่างวูบหนึ่งแล้วกลายเป็นกระบี่ยักษ์ค้ำฟ้า จากนั้นหมุนควงอย่างรวดเร็วโดยมีด้ามกระบี่เป็นศูนย์กลาง กลายเป็นวงกลมสีเทามหึมาอย่างยิ่งวงหนึ่งกลืนแม่ทัพผึ้งผีหลายสิบตัวที่โชคร้ายบินดาหน้าเข้ามาจนไม่เหลือรอดสักตัว
“ฟึบๆ” เปลือกแข็งของแม่ทัพผึ้งผีเหล่านี้ถูกแสงกระบี่ที่หมุนควงโจมตีทีเดียวกระจุยดุจกระดาษ เสียงแผ่วเบาดังขึ้นหลายครั้งพร้อมกัน แม่ทัพผึ้งผีหลายสิบตัวถูกปั่นจนกลายเป็นเศษชิ้นส่วนเต็มฟ้าในพริบตา จากนั้นก็ระเบิดกระจายราวกับดอกไม้ไฟแล้วสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ภาพนี้ทำให้หลิ่วหมิงลอบตะลึงอยู่ในใจ
ต่อให้เป็นเขา หากต้องการสังหารแม่ทัพผึ้งระดับผลึกมากมายเช่นนี้ในพริบตาก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ แม้ผู้ฝึกฝนแซ่หมิ่นผู้นี้จะพลังเพียงระดับแก่นแท้ขั้นต้น แต่ความสามารถในการบังคับกระบี่ของเขาไม่อาจดูแคลนได้แม้แต่น้อย
“รีบไป แม่ทัพผึ้งมากมายเช่นนี้ถูกสังหารคงดึงความสนใจของราชินีผึ้งในฝูงผึ้งมาแล้ว” ขณะที่ทุกคนกำลังอึ้งอยู่ ผู้เฒ่าดวงตาสีเขียวก็ส่งเสียงเอ่ยเร่งอีกครั้ง
ผู้เฒ่าเพิ่งเอ่ยจบ เสียงกรีดร้องแหลมยาวเสียงหนึ่งก็ดังมาจากฝูงผึ้งที่อยู่ไกลๆ
ทุกคนเปลี่ยนสีหน้าไปทันที พวกเขาเร่งความเร็วลำแสงเหาะเร็วรี่ไปด้านหน้า
ฝูงผึ้งส่งเสียงหึ่งดังลั่นราวกับได้รับสัญญาณ พวกมันเปลี่ยนทิศทางแล้วไล่ตามพวกหลิ่วหมิงมาอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามเต็ม พวกหลิ่วหมิงก็นับว่าสลัดพ้นฝูงผึ้งผีที่เหมือนโรคร้ายในกระดูก เนื่องจากขณะที่ตระหนกไม่ได้สนใจทิศทางจึงเบนออกจากจุดหมายเล็กน้อย
หลังจากทุกคนพักครู่หนึ่งก็มุ่งหน้าไปยังป้อมปราการหมายเลขสิบเก้าที่เป็นเป้าหมายต่อ
ตลอดทางพวกหลิ่วหมิงพบการโจมตีของภูตผีนานาชนิดหลายครั้ง การเดินทางจึงล่าช้าไปมากอย่างยิ่ง เมื่อพวกเขามาถึงป้อมปราการหมายเลขสิบเก้าอันเป็นเป้าหมายในที่สุด ก็ช้ากว่าเวลาที่ตั้งใจไว้ไปหลายชั่วยาม
ป้อมปราการหมายเลขสิบเก้าเป็นป้อมปราการที่สร้างอยู่บนเนินเขาแห่งหนึ่ง ครอบครองพื้นที่ราวเจ็ดถึงแปดหมู่ แต่เวลานี้มันกลับกลายเป็นซากปรักหักพัง สิ่งที่เห็นอยู่ในสายตาคือซากเมืองและกำแพงที่พังถล่ม สิ่งที่น่าหวาดผวายิ่งกว่าก็คือรอยแยกบนพื้นดินที่ยาวสิบกว่าลี้และกว้างหลายจั้งเส้นหนึ่งซึ่งลากผ่านใจกลางซากป้อมปราการ
ขณะที่หลิ่วหมิงผู้เหาะอยู่บนท้องฟ้าเห็นภาพเบื้องล่าง ในใจก็เย็นยะเยือกขึ้นมาชั่ววูบ
รอยแยกบนพื้นดินขนาดมหึมาเส้นนี้เห็นชัดว่าเกิดจากการใช้วิชา คิดว่าคงเป็นการกระทำของกองทัพผีร้าย การโจมตีครั้งนี้เองที่ทำให้ป้อมปราการพังทลายอย่างสิ้นเชิง
นอกเหนือจากนี้ปราณหยินที่นี่ก็หนักหน่วงกว่าบริเวณเมืองแสงทองเป็นเท่าตัว เป็นดังเช่นที่เยวี่ยชีว่า ณ ที่แห่งนี้ ต่อให้พลังจิตของเขาแข็งแกร่ง จิตสัมผัสก็สำรวจออกไปได้สิบกว่าลี้เท่านั้น
ปราณหยินใกล้ๆ ราวกับเป็นอากาศหนาวยะเยือกที่ซึมเข้าไปถึงกระดูก เขาต้องลอบโคจรวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจึงจะขับไล่ความรู้สึกไม่สบายนี้ออกไปได้.Aileen-novel.
“ป้อมปราการหมายเลขสิบเก้าเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ตอนที่สร้างใช้วัสดุที่แข็งแกร่งที่สุด ยามนี้กลับถูกทำลายจนเป็นสภาพเช่นนี้ ดูท่ากองทัพผีร้ายที่โจมตีที่แห่งนี้จะแข็งแกร่งนัก น่าจะไม่ใช่แค่แม่ทัพผีระดับแก่นแท้ตนเดียว” บุรุษร่างบึกบึนร่อนลงกลางซากปรักหักพัง เขาสำรวจอย่างละเอียดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาเรียบๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา