“ศิษย์น้องหลิ่วไม่พักสักหน่อยหรือ?” บุรุษแซ่หมิ่นเหลือบมองหลิ่วหมิงที่ยืนอยู่แล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ข้ายังไม่เหนื่อยนัก ยังทนไหวอยู่” หลิ่วหมิงยิ้มนิดๆ
พลังจิตของเขาแข็งแกร่งเหนือกว่าระดับเดียวกัน แล้วยังมีหนอนพลังจิตคอยช่วยเหลืออีก ดังนั้นย่อมไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
ตอนนี้หลิ่วหมิงพลิกมือเรียกคัมภีร์หยกเล่มหนึ่งออกมาแล้วส่งจิตสัมผัสแทรกเข้าไป
นี่คือแผนที่ซึ่งเขาซื้อมาจากร้านแห่งหนึ่งในเมืองจินกวังด้วยราคาสูง ในนี้มีข้อมูลที่กลุ่มอำนาจนิกายอื่นรวบรวมอยู่ไม่น้อย ละเอียดกว่าแผนที่ซึ่งนิกายแจกจ่ายให้มากนัก
ตามที่สามหน่วยย่อยแบ่งงานกันก่อนหน้านี้ พวกเขาต้องค้นหาพื้นที่หนึ่งในสาม หน่วยย่อยที่เหลืออีกสองหน่วยก็น่าจะเป็นเช่นนี้ด้วย แต่จนถึงตอนนี้หน่วยย่อยทั้งสามก็ยังไม่พบสิ่งใดเลย
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังใคร่ครวญนั่นเอง เสียงร้อนรนของเซียเอ๋อร์ก็ดังออกมาจากในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอว
“นายท่าน ใต้พื้นตรงนั้นมีผีตัวหนึ่งกำลังเข้ามาใกล้พวกเรา”
“ระวังใต้ดิน!”
หลิ่วหมิงผวา จากนั้นสายตาก็จับบนพื้นตรงเนินเขาห่างไปไม่กี่จั้งในพริบตาแล้วตะโกนเสียงดัง
เพิ่งเอ่ยจบ เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินก็ดังขึ้น
พื้นดินบริเวณสิบกว่าจั้งด้านหน้าฉับพลันยุบถล่มกลายเป็นหลุมใหญ่หลุมหนึ่ง เงาดำร่างหนึ่งพุ่งออกมาดุจสายฟ้าแลบ มันคือกิ้งก่าสีเทาขนาดมหึมาตัวหนึ่ง
อสูรแห่งความมืดตัวนี้มีหัวขนาดเท่าโม่ มันอ้าปากใหญ่โตสีแดงสดจะขย้ำบุรุษผู้สะพายคันธนูสีแดงที่กำลังหลับตานั่งสมาธิอยู่
ทั้งสี่คนที่นั่งทำสมาธิอยู่ตื่นจากสมาธิอย่างรวดเร็วตั้งแต่ที่หลิ่วหมิงร้องเตือน
บุรุษผู้สะพายคันศรสีแดงมองปากใหญ่โตสีแดงสดที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตรงหน้าแล้วเปลี่ยนสีหน้าไปในทันใด
แต่เขาก็เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชนคนหนึ่ง มือหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชา แสงสีแดงสว่างจ้าบนร่างก่อตัวกลายเป็นเกราะแสงบางชั้นหนึ่งอย่างฉุกละหุก
เพล้ง!
ปากกว้างของกิ้งก่าสีเทาหุบลง เกราะแสงปริร้าวจนแทบจะพังทลายในทันที
ทว่าครู่เดียวที่ชักช้านี้ตัดสินชะตาของกิ้งก่ายักษ์สีเทา
“ฉึบ” แสงกระบี่สีเทาเส้นหนึ่งพุ่งลงมาจากที่สูงแล้วกลายเป็นลำแสงสีเทาหนาเส้นหนึ่งทะลวงผ่านกระหม่อมของกิ้งก่ายักษ์ลงมา กิ้งก่ายักษ์สีเทาตกตะลึง มันเบี่ยงลำคอหลบอย่างหวุดหวิด
เวลานี้เองเสียงพยัคฆ์คำรามก็ดังขึ้น เงาหมัดหัวพยัคฆ์สีดำสนิทข้างหนึ่งจู่โจมมาจากด้านข้างพร้อมเสียงดังสนั่น
เสียงกระดูกแตกหักที่ชวนให้คนรู้สึกปวดฟันดังขึ้นมา!
ร่างกายมหึมาของกิ้งก่ายักษ์ถูกโจมตีปลิวออกไปทั้งอย่างนั้น ในเวลาเดียวกันแสงกระบี่สีเทาก็ตวัดครั้งหนึ่งปาดผ่านลำคอของมันไป ศีรษะกับร่างกายแยกจากหนึ่งเป็นสองทันทีแล้วร่วงตกลงมาอย่างแรงห่างกันหลายจั้ง
ส่วนหัวของกิ้งก่าสีเทาบิดเบี้ยวและแตกร้าว ขาทั้งสี่ข้างบนลำตัวกระตุกอยู่ครั้งสองครั้งก็แน่นิ่งไป
บุรุษแซ่หมิ่นโบกมือข้างหนึ่ง แสงกระบี่สีเทาเส้นหนึ่งก็บินกลับมาแล้วผสานเข้าไปในร่างเขาดัง “ฟึบ”
อีกด้านหนึ่งปราณดำที่วนล้อมบนร่างหลิ่วหมิงสลายหายไปอย่างช้าๆ เก็บกำปั้นที่โจมตีกลับมาบ้าง
ตอนนี้พวกบุรุษผู้สะพายคันศรแดงทั้งสี่คนเพิ่งเหาะกลับมาบนท้องฟ้าได้อย่างหวุดหวิด พวกเขามองกิ้งก่ายักษ์ที่ตายอยู่เบื้องล่างอย่างหวาดผวา
“กิ้งก่าผี!” ผู้เฒ่าหลังค่อมเอ่ยเสียงอู้อี้จากการพูดด้วยท้อง เสียงเต็มไปด้วยความหวาดผวาที่ยังไม่จางหาย
ก็ไม่แปลก ในหมู่ภูตผีและอสูรแห่งความมืดมากมายในทางปีศาจร้าย กิ้งก่าผีได้ชื่อว่าเป็นมือสังหารผู้เชี่ยวชาญการดักซุ่ม
เพราะอสูรแห่งความมืดชนิดนี้ระดับพลังไม่ต่ำต้อย อีกทั้งยังถนัดการซุ่มซ่อนตัวลอบจู่โจม ขอเพียงมันซ่อนอยู่ใต้ดิน ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ก็ไม่อาจใช้จิตสัมผัสหาพบ ดังนั้นสี่กลุ่มอำนาจใหญ่จึงมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกและระดับแก่นแท้ไม่น้อยที่ตายในปากของกิ้งก่าผีชนิดนี้
“ขอบคุณพี่หมิ่นกับสหายหลิ่วยิ่งนักที่ช่วยชีวิตไว้” บุรุษผู้สะพายคันศรแดงคำนับหลิ่วหมิงกับบุรุษแซ่หมิ่นครั้งหนึ่ง
พวกหญิงสาวชุดแดงที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็มองมาทางหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าซาบซึ้งอยู่บ้างเช่นกัน
“ศิษย์น้องไยต้องเกรงใจเช่นนี้ นี่เป็นหน้าที่ ครั้งนี้ต้องขอบคุณศิษย์น้องหลิ่วมาก” บุรุษแซ่หมิ่นโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ขณะที่สายตากวาดมองบนร่างกิ้งก่าผีอย่างเอื่อยเฉื่อย แล้วจึงมองหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้าง
หลิ่วหมิงกำลังจะอ้าปากพูดบางอย่าง แต่ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขาโบกมือส่งปราณสีดำสายหนึ่งออกมาร่วงลงบนส่วนหัวที่แตกร้าวของกิ้งก่าผี หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงม้วนลูกกลมสีดำขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งลอยกลับไป
“ผลึกความมืดของภูตผี” หลิ่วหมิงเอ่ยด้วยสีหน้ายินดี
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สิ่งนี้มาจากภูตผีด้วยมือตนเอง คนอื่นเห็นเช่นนี้ก็ล้วนผิดคาดยิ่งนัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา