เมื่อลวดลายค่ายกลของชั้นจำกัดถูกทำลาย ประตูศิลาถูกผลักเปิดเข้าไปด้านใน ปราณหยินเข้มข้นสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในห้องศิลาดุจเดียวกัน
ขณะที่เซียเอ๋อร์คิดจะเข้าไปสำรวจด้านในให้รู้แน่ “ฟุบ” กำปั้นสีเทามหึมาข้างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในห้องศิลาแล้วโจมตีมาอย่างรุนแรง
ยังไม่ทันที่เซียเอ๋อร์จะได้โจมตีกลับ พละกำลังมหาศาลล่องหนสายหนึ่งก็โถมเข้ามาอย่างดุดัน
เซียเอ๋อร์เปลี่ยนสีหน้าไปทันที ปราณสีดำทะลักออกมาทั่วร่าง พริบตาเดียวกลับคืนเป็นแมงป่องสีเงินร่างเดิม ก้ามยักษ์สองข้างยกไขว้กันเบื้องหน้าแล้วพุ่งเข้าไป
“บึ๊ม” สีเทากับสีเงินปะทะกันกลางท้องฟ้า
ผลปรากฏว่าโต้กันอยู่หนึ่งลมหายใจ แมงป่องสีเงินก็ปลิวกลับมาประหนึ่งกระสอบทรายทันที
จากนั้นเงาผีสีเทาร่างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากประตูศิลา ปราณหยินท่วมท้นโถมทะลัก
เงาผีร่างนี้ร่างกายคล้ายผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ทุกประการ เสื้อผ้าที่สวมอยู่บนร่างยังพอมองออกว่าเป็นชุดประจำหน่วยของกองทัพแสงทอง เพียงแต่ว่าเนื้อบนใบหน้าของเขาแข็งทื่อและเป็นสีเขียวคล้ำ หน้าตาเหมือนผีดิบตัวเป็นๆ อีกทั้งระดับพลังยังอยู่ราวระดับแก่นแท้ขั้นต้น!
พริบตาที่ผู้ฝึกฝนผีดิบคนนี้ก้าวออกมาจากห้องศิลา ร่างกายของเขาพลันหยุดชะงักแล้วแหงนหน้ากรีดร้องเสียงแหลมแสบแก้วหู!
“นี่มันเสียงภูตคนตาย มี…มีคนลอบเข้ามา!”
“ข้าว่าแล้วว่าทำไมพริบตาเดียวคนน้อยลงเช่นนี้!”
“รีบเปิดชั้นจำกัด ปิดตายเส้นทางทั้งหมด! สักคนก็อย่าคิดหนีออกไป!”
เสียงดังสนั่นเช่นนี้ ทหารผีที่ลาดตระเวนอยู่ใกล้ๆ กับผีรองแม่ทัพตนนั้นย่อมรู้ตัวในทันที เสียงกรีดร้องแหลมยาวดังโหยหวนไปทั่วทุกสารทิศในพริบตา
จากนั้นเสียงครืนราวกับโม่หินขยับก็ดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ สะท้อนก้องไปทั้งด้านในตัวภูเขาที่ว่างโล่ง!
“นี่คือหัวหน้าอิน…ดูท่าคนที่เหลือก็คง…” ตอนนี้เสี่ยวอู่กำลังกวาดสายตามองบนร่างผีดิบตรงหน้า นางอุทานออกมาอย่างตกตะลึง แววตาหม่นหมองไปวูบหนึ่ง
“ไม่มีเวลาสนใจคนอื่นแล้ว รีบไป!” หลิ่วหมิงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านบนก็ดีดนิ้ว ปราณกระบี่สีม่วงเส้นหนึ่งพุ่งเข้าใส่ผีดิบด้านหน้า
“เคร้ง!”
ปราณกระบี่แล่นผ่านลำคอของผีดิบแต่กลับเหมือนฟันลงบนเหล็กกล้า ประกายไฟปะทุ ลำคอของเขาไม่เป็นไรแม้แต่น้อย!
ในตอนนี้เอง เสียง “กึกๆ” ก็ดังขึ้น ห้องศิลาไม่กี่ห้องที่เหลือใกล้ๆ ทยอยเปิดออก ไอหมอกสีเทากลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเคลื่อนเรียงแถวออกมา พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกฝนผีดิบมีตั้งแต่พลังระดับผลึกขั้นปลายไปจนถึงระดับแก่นแท้
“นายท่านพาศิษย์พี่เสี่ยวอู่ไปจากที่นี่ก่อน ข้าจะขวางไว้เอง!” เซียเอ๋อร์เห็นสถานการณ์ก็ส่งกระแสจิตบอกหลิ่วหมิงผ่านจิตที่เชื่อมถึงกันทันที ในเวลาเดียวกันแสงสีทองก็ส่องสว่างออกมาจากบนหน้าผากนาง ร่างกายเปลี่ยนกลับไปเป็นแมงป่องกระดูกสีเงินขนาดหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่งขวางอยู่หน้าหลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่ในทันใด
ผู้ฝึกฝนผีดิบหลายคนที่เดินออกมาจากในห้องศิลาใกล้ๆ ถูกแสงสีทองเบื้องหน้าข่มขวัญ บนใบหน้าสีเขียวคล้ำเผยสีหน้าหวาดกลัวเล็กน้อย ไม่กล้าก้าวเข้าไปชั่วขณะ
ในเวลาเดียวกันเสียงประตูศิลาเปิดก็ทยอยดังขึ้นบนทางเดินชั้นแล้วชั้นเล่าเหนือหัวพวกเขา ผู้ฝึกฝนผีดิบใบหน้าเขียวคล้ำที่สวมเสื้อผ้าของกองทัพใหญ่ทั้งสี่พุ่งออกมาจากด้านในคนแล้วคนเล่า
“แย่แล้ว ทางที่พวกเราเข้ามาถูกปิดตายแล้ว แม้กระทั่งทางออกด้านหน้าก็เหมือนจะถูกปิดไว้ด้วย! ถอยลงไปด้านล่างก่อนค่อยว่ากัน” หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสผ่านด้านในพื้นที่ของตัวภูเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเอ่ยออกมาอย่างว่องไว แล้วดึงเสี่ยวอู่เหาะลงไปด้านล่างทันที
“จริงสิ ข้านึกออกแล้ว ด้านล่างของที่แห่งนี้มีทางลับอยู่เส้นหนึ่งตรงไปยังตำแหน่งหนึ่งบนเขาด้านหลังของเนินหลิงจิ้วได้” ขณะที่เสี่ยวอู่หนี คลื่นสีหยกพลันกระเพื่อมในดวงตาของนาง แล้วทันใดนั้นนางก็เอ่ยออกมา
“ศิษย์พี่ทราบได้อย่างไรว่าด้านล่างมีทางเส้นนี้อยู่?” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่บ้าง
อย่างไรเมื่อครู่เขาก็เห็นกับตาตนเองว่าด้านล่างคือวังวนปราณหยินที่มหึมาอย่างยิ่ง แม้จะมีเส้นทางอยู่ตรงนั้น คนธรรมดาก็คงไม่อาจผ่านไปได้ คงถูกปราณหยินกลืนกินร่างกลายเป็นภูตผีไปทันที
“ตอนที่พวกเราถูกจับมาได้ไม่นาน มีสหายระดับแก่นแท้ขั้นปลายคนหนึ่งเคยดิ้นรนฝ่าชั้นจำกัดออกมาแล้วพยายามจะช่วยพวกเรา เป็นเช่นที่ศิษย์น้องหลิ่วพูด ทางเส้นนั้นตั้งอยู่ข้างวังวนปราณหยินด้านล่างสุด ผลปรากฏว่าเขาเพิ่งจะนำพวกเราไปถึงปากทางเข้าก็ถูกปราณหยินที่ทะลักออกมาจากวังวนกัดกินจนกลายเป็นผีแม่ทัพตนหนึ่งไปทันทีแล้วจับพวกเรากลับไปอีกหน” เสี่ยวอู่เล่า
ระหว่างที่พูดกันทั้งสองคนก็มาถึงด้านล่างสุดของเนินหลิงจิ้วแล้ว ปราณหยินที่เข้มข้นจนทำให้คนหายใจไม่ออกปรากฏตรงหน้าทั้งสอง มันคือวังวนปราณหยินขนาดมหึมาอย่างยิ่ง
เวลานี้ได้อยู่ใกล้ๆ หลิ่วหมิงจึงมองเห็นว่าเหนือวังวนปราณหยินมีม่านแสงสีเทาอ่อนชั้นหนึ่งคลุมอยู่ราวกับว่ามีชั้นจำกัดมหึมาบางอย่างถูกสร้างเอาไว้ควบคุมปราณหยินด้านล่างไม่ให้ไหลรั่วออกไป
เวลานี้แม้รอบร่างเขามีปราณสีดำก่อตัวเป็นเกราะป้องกันคอยต้านการกัดกร่อนของปราณหยินที่เสียดแทงกระดูกอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าหนาวสะท้านไปทั่วร่าง
บนลำคอของเสี่ยวอู่ที่อยู่ด้านข้างฉับพลันมีป้ายหยกสีขาวน้ำนมชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นแล้วแผ่แสงสว่างวงแล้ววงเล่าออกมาด้านนอก ทันทีที่ปราณหยินซึ่งลอยขึ้นมาจากวังวนสัมผัสถูกแสงสว่างเหล่านี้ก็ทยอยสลายหายไปราวกับหิมะแรกละลาย
นี่ก็คือสมบัติคุ้มครองกายที่เสี่ยวอู่ใช้วิชาลับพิเศษซ่อนไว้ในร่างจึงไม่ถูกพวกผีแย่งชิงไป
เมื่อหลิ่วหมิงกวาดสายตามองเบื้องล่างก็เหลือบไปเห็นรอยกระบี่พาดสะเปะสะปะเลือนรางบนผนังถ้ำใกล้ๆ วังน้ำวน
รอยกระบี่เหล่านี้ฝังลึกลงไปบนผนังสามฉื่อ คล้ายกับว่าผ่านกาลเวลามาเกือบพันปีแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงทำให้เขารู้สึกค่อนข้างคุ้นเคย
ทว่าเวลานี้สถานการณ์เร่งด่วน ไม่มีเวลาให้เขาได้ครุ่นคิด หลังจากรั้งสายตากลับมา หลิ่วหมิงก็มองวังวนปราณหยินเบื้องหน้าอีกครั้งแล้วพึมพำขึ้นมาประโยคหนึ่งอย่างอดไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา