ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 1032

เวลาเที่ยงวัน ในห้องโถงใต้ดินแห่งหนึ่งของป้อมปราการไท่เทียน

ห้องโถงรูปวงกลมขนาดราวร้อยกว่าจั้งแลดูกว้างขวางยิ่งนัก รอบด้านวางเก้าอี้ศิลาราวร้อยกว่าตัวล้อมพื้นที่ว่างตรงกลางเอาไว้

เวลานี้เก้าอี้ศิลาเกือบครึ่งในนั้นมีผู้ฝึกฝนของกองทัพแสงทองที่สวมชุดเกราะสีน้ำเงินนั่งอยู่ หลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่ก็อยู่ในนั้นด้วย

ส่วนใหญ่ทุกคนกำลังจับกลุ่มพูดคุยอะไรกันอยู่เสียงเบา แต่ก็มีบางคนที่สนใจแต่จะหลับตาทำสมาธิ

“ผู้ที่อยู่ที่นี่น่าจะล้วนเป็นสมาชิกที่เข้าร่วมหน่วยปฏิบัติการพิเศษครั้งนี้สินะ บางคนดูไม่คุ้นตาอยู่บ้าง” หลิ่วหมิงมองผู้คนรอบด้านเหมือนไม่ใส่ใจแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบา

“จะว่าไป ศิษย์น้องหลิ่วก็เข้ามาในทางปีศาจร้ายได้ห้าปีแล้ว แต่ในกองทัพก็นับได้ว่าเป็นหน้าใหม่เท่านั้น ไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่แปลก คนเหล่านี้ที่นี่บางคนเป็นหัวหน้าหน่วยย่อยของกองทัพแสงทอง ที่เหลือขั้นต่ำก็เป็นยอดฝีมือระดับแก่นเสมือน ในหมู่พวกเขา คนที่อยู่ในทางปีศาจร้ายแห่งนี้มายาวนานที่สุดอยู่มาไม่น้อยกว่าร้อยปี ไม่เพียงมีความชอบในการรบโดดเด่นในกองทัพ บางคนยังเคยร่วมสงครามใหญ่กับกองทัพผีเมื่อร้อยปีก่อนด้วย” เสี่ยวอู่ได้ยินก็ยิ้มน้อยๆ อธิบายกับหลิ่วหมิง

เวลานี้เองเสียงฝีเท้ากระทบพื้นก็ดังจากที่ไกลเคลื่อนเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มผมสีเงินดวงหน้างามหมดจดผู้หนึ่งเยื้องย่างเชื่องช้าเข้ามาในห้องโถงแล้วยืนนิ่งตรงพื้นที่ว่างกลางหมู่เก้าอี้ศิลา

“ข้าน้อยเฉาฉางเฮ่อเป็นหัวหน้าของหน่วยชั่วคราวครั้งนี้” ชายหนุ่มผมเงินใช้สายตากวาดมองผู้คนอย่างช้าๆ แล้วพยักหน้าให้ทุกคนพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ

“พี่เฉา คิดไม่ถึงว่าเบื้องบนจะส่งท่านมา ข้าคิดว่าท่านออกจากทางปีศาจร้ายไปแล้วเสียอีก” บุรุษวัยกลางคนผมหยิกผู้หนึ่งเห็นเช่นนี้ก็รีบลุกขึ้นยืน ประสานมือคำนับเขาอย่างนอบน้อม

ผู้คนที่เหลือก็พากันหยุดสิ่งที่ทำอยู่เช่นกัน คนส่วนใหญ่ลุกขึ้นคำนับ

เหมือนชายหนุ่มผมเงินผู้นี้จะมีชื่อเสียงไม่น้อยจริงๆ

“ยามนี้ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ พวกเราไม่จำเป็นต้องพิธีรีตอง เข้าประเด็นหลักเลยแล้วกัน คิดว่าทุกคนคงได้ยินมาแล้ว กองทัพผีร้ายที่มาจู่โจมครั้งนี้ขนาดใหญ่อย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน หลายวันมานี้เมืองหลักทั้งสี่แห่งต่างถูกผลัดกันล้อมโจมตี สถานการณ์ตึงเครียดอย่างยิ่ง แม้ตอนนี้ป้อมปราการไท่เทียนจะยังไม่ถูกโจมตี แต่เมื่อคำนึงถึงความสำคัญของที่แห่งนี้ หากถูกตีแตก การติดต่อระหว่างเมืองหลักทั้งสี่ก็คงถูกตัดขาดไปด้วย ยามนั้นเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าแต่ลเมืองจะถูกตีแตก ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงจะชะล่าใจไม่ได้แม้แต่นิดเดียว”

เฉาฉางเฮ่อชายหนุ่มผมเงินพูดพลางโบกมือให้ทุกคน บอกเป็นนัยให้ทุกคนนั่งลง หลังจากหยุดครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยต่ออย่างเคร่งขรึม

“หลังจากผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์หลายท่านที่นี่หารือกัน กลยุทธ์ความร่วมมือครั้งนี้ของพวกเราได้แบ่งงานกันชัดเจนแล้ว เมื่อศึกใหญ่เริ่มขึ้น กองทัพแสงทองจะรับผิดชอบมหาค่ายกลชั้นจำกัดของป้อมปราการไท่เทียนหรือก็คือกำแพงรอบนอกสุดของป้อมปราการทั้งหมดเป็นหลัก และหน่วยของพวกเราจะไม่เพียงรับผิดชอบมหาค่ายกลชั้นจำกัดของที่แห่งนี่ แต่ยังรับผิดชอบเป็นกองกำลังพิเศษของป้อมปราการเตรียมพร้อมออกโจมตีตลอดเวลา เป้าหมายก็คือลอบจู่โจมแม่ทัพระดับสูงในกองทัพผีร้าย”

“ศิษย์พี่เฉา การจะใช้มหาค่ายกลแสงทองต้องใช้กำลังคนจำนวนมากเพื่อคงสภาพ จากที่ข้ารู้มากองทัพแสงทองรวมพวกเราแล้วก็มีผู้ฝึกฝนเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น หากใช้คนจำนวนมากฝืนใช้ค่ายกลนี้เกรงว่าจะคงสภาพไว้ไม่ได้นานสักเท่าไร?” หญิงสาวหน้าตางดงามอีกด้านหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าคลางแคลง

“เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทุกคนไม่จำเป็นต้องกังวลใจเกินไป จะมีสหายสำนักเฮ่าหรานส่วนหนึ่งรับผิดชอบเสริมความแข็งแกร่งให้มหาค่ายกลแสงทองทั้งหมดด้วย ไม่กี่วันก่อนมอบกระจกแสงทองให้ทุกท่าน คิดว่าทุกท่านคงผูกพันธะเสร็จเรียบร้อย ต่อจากนี้ข้าจะอธิบายสภาพคร่าวๆ ของมหาค่ายกลนี้ให้ทุกท่านฟังสักหน่อย” ผู้ฝึกฝนแซ่เฉาเอ่ยแล้วพลิกมือข้างหนึ่ง แสงสีทองดวงหนึ่งพุ่งออกมาหมุนกลางอากาศรอบหนึ่งแล้วหยุดลง กลายเป็นกระจกแสงสีทองขนาดหนึ่งฉื่อกว่าบานหนึ่ง ระหว่างที่แสงสีทองเคลื่อนวนก็สาดส่องห้องโถงใต้ดินจนสว่างไสว

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ในใจก็ฉุกคิด ฝ่ามือข้างหนึ่งพลิกหงาย ใจกลางฝ่ามือปรากฏกระจกสีทองขนาดเท่าฝ่ามือบานหนึ่งที่บนผิวมีแสงจิตวิญญาณไหลวนอยู่เลือนราง แลดูพลังจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม

เขาเล่นกระจกในมืออยู่พักหนึ่ง ข้อมูลเกี่ยวกับค่ายกลแสงทองก็ผุดขึ้นมาในสมองอย่างรวดเร็ว

ค่ายกลแสงทองคือมหาค่ายกลชั้นจำกัดชนิดหนึ่งที่ผสานการโจมตีและการป้องกันให้เป็นหนึ่ง โดยมีบาตรแห่งการสร้างเป็นพื้นฐาน ใช้กระจกสีทองหักเหลำแสงที่พุ่งออกมาจากบาตรแห่งการสร้าง ทำให้แสงสีทองที่เดิมทีมีเพียงเส้นเดียวหักเหทับซ้อนจนกลายเป็นตาข่ายค่ายกลสีทองอันหนึ่งขับไล่ภูตผีในบริเวณกว้างได้

กระจกแสงทองนี่คืออาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่ค่อนข้างพิเศษชิ้นหนึ่ง บนกระจกสลักลวดลายค่ายกลชั้นจำกัดสำหรับหักเหและเพิ่มอิทธิ์ฤทธิ์ไว้มากมาย เมื่อประสานกับค่ายกลจำนวนหนึ่ง จะทำให้ลำแสงที่แผ่ออกมาจากบาตรแห่งการสร้างสำแดงฤทธิ์มากที่สุดได้

แต่ค่ายกลนี้ก็มีจุดอ่อนที่เด่นชัดประการหนึ่ง นั่นก็คือแต่ละครั้งที่ใช้จะไม่อาจคงไว้ได้นานนัก นี่จึงทำให้ระหว่างแสงสีทองที่ส่องออกมามีช่องว่าง

“ค่ายกลแสงทองเป็นค่ายกลลูกโซ่ชุดหนึ่ง หกคนจับกลุ่มเป็นดวงตาค่ายกลขนาดเล็ก สามสิบหกคนสร้างชั้นจำกัดเป็นห่วงโซ่ซ้อนกันทำให้พลังของค่ายกลสำแดงถึงขีดสุด ใจกลางของค่ายกลทั้งชุดหรือก็คือจุดที่ดวงตาค่ายกลขนาดใหญ่กับเล็กซ้อนทับกันซึ่งเป็นจุดสำคัญของค่ายกลชั้นจำกัดทั้งหมด ข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบ นี่คือวิธีวางค่ายกลนี้ ต้องจดจำไว้ให้ขึ้นใจ” บุรุษผมเงินอธิบายกับทุกคนด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบพลางยกแขนเสื้อ แสงสีขาวเส้นแล้วเส้นเล่าแยกย้ายไปรอบด้านแล้วทยอยร่วงลงในมือของผู้ที่นั่งอยู่อย่างแม่นยำ กลายเป็นคัมภีร์หยกที่ทอแสงสีขาวขมุกขมัวชิ้นแล้วชิ้นเล่า

“ค่ายกลแสงทองนี่ค่อนข้างลี้ลับ เมื่อทำงานอย่างสมบูรณ์ พลังจะไร้ที่สิ้นสุด ข้าเสนอให้อาศัยจังหวะก่อนสงครามใหญ่เริ่มต้นฝึกซ้อมสักหนเพื่อให้พลังของค่ายกลนี้บรรลุถึงจุดสูงสุด” จิตสัมผัสของหลิ่วหมิงกวาดคัมภีร์หยกสีขาวในมืออย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยปากเสนอขึ้นมา

“ผู้นี้คงจะเป็นศิษย์น้องหลิ่วจากนิกายสายในที่เพิ่งมาไม่นานสินะ เจ้าพูดไม่ผิด แต่ค่ายกลนี้ผลาญพลังเวทมากนัก วันนี้กองทัพผีคอยจ้องจะลงมืออยู่ด้านนอก อาจจู่โจมกะทันหันได้ตลอดเวลา ไม่มีเวลาให้พวกเราฝึกซ้อมอีกแล้ว พวกเจ้าจดจำเนื้อหาในคัมภีร์หยกไว้ก่อน ถึงเวลาใช้จริง ตำแหน่งที่ยืนอย่างละเอียดข้าจะจัดการเอง” บุรุษผมเงินได้ยินก็ยิ้มแล้วเอ่ยกับหลิ่วหมิง

“คำพูดนี้ของพี่เฉาพูดถูกที่สุด” บุรุษวัยกลางคนผมหยิกเอ่ยคล้อยตามเป็นคนแรก

ต่อจากนั้นคนที่เหลือก็แสดงออกว่าเห็นด้วยพร้อมกันด้วยไม่ได้นัด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา