ผู้เฒ่าแซ่เหยามีชีวิตมาไม่รู้กี่ปีแล้วย่อมชาญฉลาด เขาฟังแล้วจึงแย้มยิ้มแต่ไม่พูดอันใด
“ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็แบกความไว้วางใจของนิกายทำหน้าที่คุ้มครองประตูทางเข้าของทางปีศาจร้ายแห่งนี้อยู่ ฉะนั้นทุกสิ่งระวังไว้เป็นดี” บุรุษผมขาวของนิกายเทียนกงเอ่ยปากอย่างนิ่งสงบ
คนอื่นก็พากันพยักหน้า มีเพียงชายหนุ่มคิ้วยาวของนิกายปีศาจลี้ลับเท่านั้นที่ไม่ค่อยเห็นด้วยอยู่บ้าง แต่มีสายตาเข้มงวดของหญิงวัยกลางคนข้างตัวจับจ้อง เขาจึงไม่พูดอะไรมาก
“จริงสิ พี่เหยา พี่เว่ย ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสหั่วเยี่ยของนิกายท่านยามนี้อยู่ที่ใด ในเมื่อครั้งนี้กองทัพผีร้ายกล้ายกพลใหญ่โจมตีเมืองใหญ่ทั้งสี่ของพวกเรา เกรงว่าจะมีความมั่นใจบางอย่าง หากภูตอนธการลงมือเอง อาศัยเพียงพวกเราคงต้านทานไว้ไม่ได้แน่” บุรุษผมขาวของนิกายเทียนกงฉับพลันเลิกคิ้วเอ่ยต่อ
เมื่อคนที่เหลือได้ฟังก็เผยสีหน้าจริงจังออกมาด้วย
“ทุกท่านโปรดวางใจ ผู้อาวุโสหั่วเยี่ยของนิกายเราเวลานี้อยู่ใกล้กับหุบเขามืด หากผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ของอีกฝ่ายลงมือ ท่านผู้เฒ่าจะต้องไม่นิ่งดูดายแน่นอน” บุรุษวัยกลางคนผมสีเทาด้านข้างผู้เฒ่าแซ่เหยาที่เงียบมาตลอดจู่ๆ ก็เอ่ยปากพูด
“หากเป็นเช่นนี้ พวกเราก็วางใจแล้ว ยามนี้สถานการณ์ศึกตึงเครียด พวกเราไม่สะดวกสนทนามาก คงต้องขอตัวก่อน” บุรุษผมขาวพยักหน้าจากนั้นยกมือขึ้นเบาๆ กำแพงแสงสีน้ำเงินฝั่งซ้ายที่เขาอยู่พลันสลายกลายเป็นละอองแสงสีน้ำเงินหายไปกลางอากาศอย่างเงียบเชียบ
ต่อมาบุรุษหล่อเหลาผู้สวมชุดบัณฑิตจากสำนักเฮ่าหรานกับหญิงงามวัยกลางคนจากนิกายปีศาจลี้ลับบนกำแพงตรงกลางกับฝั่งขวาก็ทยอยเอ่ยปากขอตัวบ้าง พวกเขายกมือข้างหนึ่งขึ้นใช้เคล็ดวิชา กำแพงแสงสีน้ำเงินสองด้านก็สลายหายไปตามกัน
ผู้เฒ่าแซ่เหยาเห็นเช่นนี้ก็ถอยออกมาจากค่ายกลพร้อมกับบุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาแล้วท่องมนตร์แผ่วเบา ค่ายกลรูปวงกลมบนพื้นหม่นแสงลงในทันที
ห้องฟื้นกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
ผู้เฒ่าแซ่เหยาขมวดคิ้ว เขาหันกายมาหมายจะพูดอะไรกับบุรุษเส้นผมสีเทาด้านข้าง ทันใดนั้นเสียงฝีเท้ารีบร้อนก็ดังจากไกลเข้ามาใกล้ ฝีเท้าก้าวเร็วไวมาถึงประตูห้อง
“เรียนผู้อาวุโสทั้งสอง เมื่อครู่ได้รับข่าวว่าป้อมปราการนอกเมืองถูกกองทัพผีร้ายขนาดใหญ่จู่โจมกะทันหัน อีกทั้งการโจมตีรุนแรงอย่างยิ่ง มีป้อมปราการสองแห่งแตกไปแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นนอกประตู
ผู้เฒ่าแซ่เหยากับบุรุษวัยกลางคนผมเทาล้วนตกตะลึง พวกเขาเปิดประตูอย่างรวดเร็ว ผู้ที่อยู่ด้านนอกก็คือบุรุษวัยกลางคนแซ่กู่ผู้อาวุโสฝ่ายดำเนินการของที่แห่งนี้ สีหน้าแลดูร้อนรนยิ่งนัก
“เล่าสถานการณ์อย่างละเอียดให้พวกข้าฟังก่อน” ผู้เฒ่าแซ่เหยาเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
……
ในเวลาเดียวกันนี้ ห่างไปหลายพันลี้ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองจินกวัง บนไหล่เขาของภูเขาที่สูงชันแห่งหนึ่ง ป้อมปราการหมายเลขสิบแปดของกองทัพแสงทองตั้งอยู่ที่นี่
ยามนี้ด้านนอกป้อมปราการ ปราณดำกับไอหมอกเวียนวนปกคลุมผืนฟ้ากว่าครึ่งเอาไว้
ท่ามกลางปราณสีดำ ผีร้ายที่สวมชุดเกราะโบราณมากมายกำลังล้อมป้อมปราการไว้ในวงล้อม
ชั่วขณะหนึ่งเสียงคำรามและเสียงระเบิดดังประสานกันก้องกังวานไปทั่วทั้งขุนเขา
เมื่อผีรองแม่ทัพที่เป็นหัวหน้าสั่งการ การโจมตีก็โหมกระหน่ำพุ่งเร็วรี่มาจากทั่วทุกสารทิศดั่งเม็ดฝน แล้วร่วงใส่กำแพงแสงป้องกันที่ทอแสงสีน้ำเงินอยู่รอบนอกป้อมปราการทั้งหลัง
แม้กำแพงแสงป้องกันจะทอแสงสีน้ำเงินวูบวาบหลายครั้งแต่ก็ยังขวางการโจมตีทั้งหมดไว้ได้
ศิษย์ที่ประจำการอยู่ในป้อมปราการหลายสิบคนสีหน้าตึงเครียด พวกเขากุมธงค่ายกลในมือไว้แล้วพยายามถ่ายเทพลังเวทเข้าไปด้านในสุดชีวิต ลำแสงสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาจากธงค่ายกลผสานเข้ากับกำแพงป้องกันด้านนอกอย่างรวดเร็ว
บนแท่นสูงตรงกลางหมู่ศิษย์ที่เฝ้าป้อม บุรุษผู้สวมชุดหัวหน้าหน่วยย่อยของกองพลที่สองแห่งกองทัพแสงทองคนหนึ่งกำลังถือแผ่นค่ายกลส่งสารทรงสี่เหลี่ยมชิ้นหนึ่งอยู่ในมือและกำลังบอกเล่าบางสิ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ตอนนี้กองทัพผีร้ายที่ล้อมป้อมปราการอยู่มีจำนวนเท่าไร” เสียงหนึ่งดังออกมาจากในแผ่นค่ายกล
“อย่างน้อยก็มีมากกว่าพันตน ผู้ที่นำทัพคือผีแม่ทัพระดับแก่นแท้สามตน…หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ค่ายกลป้องกันของป้อมปราการคงใกล้จะทานไม่ไหวแล้ว ขอความช่วยเหลือจากกองทัพอย่างเร่งด่วน” บุรุษวัยกลางคนเอ่ยเสียงร้อนรน
“ทนอีกหน่อย หน่วยย่อยของกองกำลังหลักสองหน่วยกำลังอยู่ระหว่างทาง คาดว่าอีกหนึ่งก้านธูปก็จะไปถึงแล้ว…”
ปรากฏว่าเสียงในแผ่นค่ายกลยังไม่ทันเอ่ยจบ เสียงดังสนั่นก็ดังมาจากด้านนอก ป้อมปราการทั้งหลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จุดหนึ่งบนกำแพงแสงป้องกันเกิดรอยร้าวจำนวนหนึ่ง
ศิษย์หลายสิบคนในป้อมปราการเห็นภาพนี้พลันหน้าถอดสีในทันใด
นอกป้อมปราการ ผีแม่ทัพร่างกายมหึมาสามตนลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือหมู่ทหารผีของกองทัพผีร้ายที่ล้อมโจมตีป้อมปราการ
“พวกเจ้าสองตนไปช่วยอีกแรง ใกล้จะจัดการเผ่ามนุษย์เหล่านี้ได้แล้ว เบื้องบนสั่งว่าอย่าให้เหลือคนรอดแม้แต่คนเดียว!” ผีแม่ทัพที่เป็นหัวหน้ามีใบหน้าเหี้ยมเกรียมและมีเขางอกอยู่บนศีรษะเขาหนึ่งเขามองรอยร้าวบนกำแพงแสงป้องกันเบื้องล่างแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา
ผีแม่ทัพอีกสองตนขานรับ ผีแม่ทัพหน้าดำที่สะพายถุงลูกศรบนแผ่นหลังก้าวมาข้างหน้าแล้วถูฝ่ามือ บนฝ่ามือพลันมีแสงสีดำส่องสว่าง คันศรยาวสีดำสนิทคันหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา