ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 1058

“ในเมื่อภารกิจครั้งนี้อันตรายหนักหนา แม้เป็นยอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจแต่ละแห่งก็คงจะชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมภารกิจคุ้มกันหรือไม่สินะ” บุรุษร่างใหญ่ผู้สวมอาภรณ์สีน้ำเงินแววตาทอประกายเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามต่อ

“แม้เป็นเช่นนั้น แต่กลุ่มอำนาจใหญ่แต่ละแห่งล้วนให้ค่าตอบแทนมากมาย เมื่อมีรางวัลอย่างงาม รายชื่อคนสมัครแต่ละครั้งล้วนเพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้หากคิดจะเข้าร่วมขบวนคุ้มกันจะต้องผ่านการคัดเลือกก่อน” ผู้เฒ่าหัวเราะเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินออกไปจากกลุ่มคน

บุรุษร่างใหญ่ผู้สวมชุดสีน้ำเงินหยุดยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนอีกพักใหญ่กว่าจะผละจากกำแพงหยกสีดำที่อยู่ตรงกลาง

คนผู้นี้ไม่ต้องบอกกล่าวมาก เขาย่อมคือหลิ่วหมิง

เวลานี้เขามีรอยยิ้มที่แทบจะสังเกตไม่เห็นอยู่บนใบหน้า ขณะที่เดินไปยังตำหนักภารกิจที่อยู่ด้านข้างลานกว้าง

จะว่าไปแล้วตัวหลิ่วหมิงเองก็ไม่ได้สนใจภารกิจคุ้มกันครั้งนี้มากนัก แต่เมื่อได้รู้รายละเอียดของภารกิจคุ้มกันครั้งนี้ เขาก็ดีใจยิ่งนักทันที

หลายวันนี้เขาศึกษาแผนที่ของแดนวารีมืดมาแล้ว เส้นทางของขบวนบรรณาการจากเมืองเหลิ่งเยวี่ยไปถึงเมืองปี้โยวเส้นนี้บังเอิญผ่านแม่น้ำมืดสายไม่น้อยสายหนึ่งพอดี

ขบวนบรรณาการมียอดฝีมือมากมาย อีกทั้งคุ้นเคยกับเส้นทาง พวกเขาย่อมหลบเลี่ยงเขตอันตรายจำนวนหนึ่งตามรายทางได้อย่างราบรื่น เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมลดอันตรายที่ต้องเผชิญหากเดินทางไปยังแม่น้ำมืดตามลำพังได้มาก

อีกอย่างการติดตามขบวนก็มีข้อดีใหญ่หลวงอีกประการหนึ่งนั่นก็คือใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายได้โดยไม่เสียเงินหลายครั้ง นี่ย่อมช่วยประหยัดเวลาได้อย่างยิ่ง

อย่างไรก็ดีหากตนเดินทางไปเอง ค่ายกลเคลื่อนย้ายเหล่านี้ย่อมต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อย ตอนนี้เขากระเป๋าแห้งอีกทั้งมีเวลาจำกัด ไม่มีเวลามากมายเพื่อไปสะสมหินยมโลก

สรุปก็คือหากได้ติดตามไปกับขบวนบรรณาการ เขาย่อมลดปัญหายุ่งยากไปได้มากมาย

แต่จากที่ผู้เฒ่าตนนั้นบอกก่อนหน้านี้ การเดินทางครั้งนี้จะต้องพบกับการจู่โจมดักปล้นจากกลุ่มอำนาจเผ่ายมโลกกลุ่มอื่น ทว่าหลิ่วหมิงไม่คิดจะติดตามขบวนคุ้มกันบรรณาการไปตลอดทาง หลังจากเข้าใกล้เขตแม่น้ำมืด เขาจะหาโอกาสเหมาะๆ ออกจากขบวน เดินทางไปหาแม่น้ำมืด

ระหว่างที่ครุ่นคิด หลิ่วหมิงก็ก้าวเท้ามาถึงหน้าสิ่งก่อสร้างทรงกลมสามชั้นแห่งหนึ่ง

ที่แห่งนี้ก็คือ ‘หอจันทร์บรรจบ’ ตำหนักภารกิจของเมืองเหลิ่งเยวี่ย

ทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในห้องโถงชั้นหนึ่งก็พบว่าห้องโถงที่เดิมทีค่อนข้างกว้างขวางมีผู้คนเบียดเสียดกันอยู่ก่อนแล้ว ผู้อาวุโสฝ่ายดำเนินการของจวนเจ้าเมืองหลายตนที่อยู่ตรงจุดรับสมัครด้านหน้าถูกผู้คนรุมล้อมจนหยดน้ำยังไม่อาจลอดผ่าน

สิ่งนี้ทำให้เห็นว่าเผ่ายมโลกของเมืองเหลิ่งเยวี่ยเหล่านี้ให้ค่าภารกิจครั้งนี้ปานใด

เขาเพิ่งยกเท้าเดินไปด้านหน้าได้ไม่กี่ก้าว บุรุษวัยกลางคนผู้สวมอาภรณ์สีฟ้าท่วงท่าสง่างามผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหลิ่วหมิง

“พี่อิ่นหาน คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะพบหน้ากันอีกครั้งที่นี่” บุรุษวัยกลางคนชุดสีฟ้าประสานมือเอ่ยอย่างมีมารยาท

“ที่แท้ก็สหายถูคุนนั่นเอง ไม่คิดว่าจากกันวันนั้น กว่าจะได้พบกันอีกทีก็ตอนนี้” หลิ่วหมิงยิ้มตอบ

“ภารกิจคุ้มกันบรรณาการเช่นนี้ ข้าต้องมาร่วมสนุกด้วยแน่นอน อย่างไรขอแค่ลงชื่อเข้าร่วมการคัดเลือกก็ได้หินยมโลกจำนวนหนึ่งเป็นรางวัลแล้ว” ถูคุนหัวเราะฮ่าๆ

หลังจากนั้นทั้งสองคนสนทนากันอีกสองสามประโยค หลิ่วหมิงก็ขอตัวแยกไปแจ้งชื่อ

เวลาเจ็ดวันผ่านไปในพริบตา

วันนี้ดวงตะวันมืดลอยอยู่กลางท้องฟ้า สายลมเย็นยะเยือกพัดโชย

บนทุ่งราบกว้างผืนหนึ่งไม่ไกลจากทางเหนือของเมืองเหลิ่งเยวี่ย มีเวทีประลองพื้นที่หลายสิบจั้งสิบกว่าเวทีถูกสร้างขึ้นมา

เวทีประลองเรียงกันเป็นวง ตรงกลางมีแท่นสูงแท่นหนึ่ง บุรุษวัยกลางคนเผ่ายมโลกผู้มีหนวดยาวสามปอยใต้คาง สวมอาภรณ์สีเงินบนร่างตนหนึ่งยืนเอามือทั้งสองข้างไพล่ไว้ด้านหลัง ขณะที่เพ่งมองเบื้องหน้าด้วยสีหน้านิ่งเฉย

คนผู้นี้ก็คือเหลิ่งเยวี่ยผู้เป็นเจ้าเมืองเหลิ่งเยวี่ย

ลมปราณบนร่างเหลิ่งเยวี่ยเหมือนนิ่งสงบ แต่ความจริงเย็นยะเยือกอย่างยิ่ง ดูเหมือนจะบรรลุถึงระดับดาราพยากรณ์ขั้นกลางแล้ว

ข้างกายเขายังมีเผ่ายมโลกที่สวมอาภรณ์สีดำตัวยาวอยู่อีกสองตน ตนหนึ่งเป็นผู้เฒ่า ส่วนอีกตนหนึ่งเป็นสตรี พวกเขาทุกตนล้วนมีสีหน้าเรียบเฉยยืนเอามือประสานกันไว้ พลังบรรลุถึงระดับดาราพยากรณ์ขั้นต้น

เวลานี้รอบเวทีประลองแต่ละเวทีมีเผ่ายมโลกรวมตัวกันอยู่มากมาย ในหมู่เผ่ายมโลกเหล่านี้มีเผ่ายมโลกระดับล่างที่พลังเพียงระดับของเหลวจิตวิญญาณอยู่จำนวนหนึ่ง พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมการคัดเลือกกันเสียทั้งหมด ส่วนใหญ่เพียงเดินทางมาชมการต่อสู้เพื่อเปิดหูเปิดตาและชมเรื่องสนุกเท่านั้น

กฎของการคัดเลือกเรียบง่ายอย่างยิ่ง คล้ายกับเมื่อตอนหลิ่วหมิงอยู่ที่นิกายปีศาจ เริ่มตั้งแต่เที่ยงวันยามที่ดวงตะวันมืดทรงพลังที่สุด ให้เลือกท้าทายเวทีประลองทั้งสิบได้ตามใจ จวบจนพลบค่ำ ผู้ที่ยังยืนอยู่บนเวทีประลองจะถือว่าผ่านการคัดเลือก มีสิทธิเข้าร่วมการคุ้มกันบรรณาการเดินทางไปยังเมืองเอกเมืองปี้โยว

แต่สิ่งที่แตกต่างจากโลกภายนอกก็คือการประลองของเผ่ายมโลกไม่มีการตั้งกรรมการ มีเพียงสองวิธีเท่านั้นที่จะตัดสินแพ้ชนะ วิธีที่หนึ่งเป็นฝ่ายยอมแพ้เองแล้วถูกชั้นจำกัดบนเวทีประลองเคลื่อนย้ายออกไป อีกวิธีหนึ่งก็คือโจมตีจนอีกฝ่ายไม่อาจขยับได้หรือสังหารเสีย

ด้วยเหตุนี้ก่อนหน้าที่ทุกคนจะเข้าร่วมการคัดเลือกล้วนต้องใช้ป้ายประจำตัวของตนทำสัญญาของเผ่ายมโลกที่ค่อนข้างพิเศษฉบับหนึ่ง

กฎเกณฑ์เหล่านี้หลิ่วหมิงย่อมไม่สนใจ ไม่ต้องพูดถึงป้ายประจำตัวนี่ไม่ใช่ของตน ต่อให้สัญญาเป็นผล หากมีเพียงผู้ฝึกฝนที่ต่ำกว่าระดับดาราพยากรณ์เท่านั้นที่เข้าร่วมการคัดเลือก เขาย่อมปกป้องตนเองได้อย่างไม่ต้องกังวล

“ได้เวลาแล้ว การคัดเลือกครั้งนี้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ” ทันใดนั้นเหลิ่งเยวี่ยก็เงยหน้ามองดวงตะวันมืดที่ทอแสงเต็มดวงบนท้องฟ้า เขากระแอมให้คอโล่งแล้วประกาศเสียงดังกังวาน

สิ้นเสียง ฝูงชนที่เดิมทีส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอยู่รอบด้านก็เงียบลงทันที

สายตาของคนทั้งหมดกวาดพรึ่บไปบนเวทีประลองสิบเวทีที่เรียงเป็นวงอยู่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา