อ่านสรุป ตอนที่ 1060 ขบวน จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet
บทที่ ตอนที่ 1060 ขบวน คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
หลิ่วหมิงไม่สนใจถ้อยคำที่เขาเอ่ย แววตาเย็นชายากจะสังเกตพาดผ่านดวงตาไป
เห็นเพียงแขนเสื้อเขาสะบัดครั้งหนึ่ง แสงสีเทาเลือนรางสายหนึ่งก็ไหลมาในมือ ร่างกายขยับวูบเดียว คนก็กลายเป็นเงาสี่สายพุ่งพรวดไปด้านหน้าดุจภูตพราย
ร่างกายยังอยู่กลางท้องฟ้า มือพลันกระตุ้นเคล็ดวิชาทันที
“ปึง” “ปึง” เสียงดังติดกันหลายครั้ง!
มังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกที่ขนาดเหลือเพียงเจ็ดแปดจั้งห้าตัวระเบิดพร้อมกันกลายเป็นหมอกสีดำปกคลุมทั่วฟ้า ล้อมบุรุษผู้สวมชุดผ้าไหมกับวงแหวนยมโลกคลั่งห้าวงไว้แน่นหนา
ส่วนเงาลวงสี่ร่างของหลิ่วหมิงขยับวูบเดียวจมหายเข้าไปในหมอกสีดำรอบตัวบุรุษชุดผ้าไหม หายไปไม่เห็นร่องรอย
บุรุษผู้สวมชุดผ้าไหมมองหมอกสีดำหนาทึบที่ลอยไปมาไม่หยุดรอบด้าน สีหน้าเคร่งขรึมต่อจากนั้นมือข้างหนึ่งก็กวักกลางอากาศ วงแหวนยมโลกคลั่งห้าวงสั่นเบาๆ กลางท้องฟ้า ทันใดนั้นเส้นไหมสีเทานับไม่ถ้วนก็พุ่งจากด้านในย้อนกลับมาวนล้อมรอบตัวเขา
เวลานี้เส้นไหมสีเทาที่พุ่งออกมาจากวงแหวนยมโลกคลั่งกลายเป็นตาข่ายไหมสีเทาร้อยขดเป็นวงผืนหนึ่งล้อมตัวเขาเอาไว้ ในเวลาเดียวกันไอหมอกสีดำรอบด้านก็ยังคงถูกวงแหวนสีเทาดูดเข้าไปอยู่
“ฟึบ” “ฟึบ” เงาสี่ร่างพุ่งออกมาจากหมอกสีดำรอบด้านพร้อมกัน ล้อมบุรุษผู้สวมชุดผ้าไหมไว้ตรงกลาง
“เหอะ รอเจ้าอยู่พอดี!”
ปรากฏว่าเงาทั้งสี่ร่างของหลิ่วหมิงยังไม่ทันตั้งหลักได้ บุรุษผู้สวมชุดผ้าไหมพลันตวาดเสียงเหี้ยม เสียงแหวกอากาศดังลั่น เส้นไหมสีเทานับไม่ถ้วนพุ่งพรวดออกมาจากวงแหวนยมโลกคลั่งห้าวงรอบตัว
แสงสีเทาส่องสว่างทั่วท้องฟ้า เส้นไหมสีเทามากมายทะลวงผ่านร่างเงาสามร่างของเขาแล้วฉีกพวกมันเป็นชิ้นๆ
มีเพียงร่างเงาร่างสุดท้ายที่สะบัดแขนครั้งหนึ่ง แสงสีเทาสายหนึ่งพุ่งพรวดออกมา มันหมุนควงรอบหนึ่งก่อนจะกลายเป็นแสงเย็นยะเยือกผืนใหญ่ สะบั้นเส้นไหมสีเทาตรงหน้ากระจุยในพริบตา
มันก็คือกระบี่วิญญาณมืดแม่ลูกนั่นเอง!
แสงกระบี่สีเทาส่องสว่าง ลำแสงเย็นยะเยือกแล่นเข้าไปหาบุรุษผู้สวมชุดผ้าไหมต่อปานสายฟ้าแลบ
บุรุษผู้สวมชุดผ้าไหมแค่นเสียงเหอะ สองมือเปลี่ยนท่าเคล็ดวิชา วงแหวนยมโลกคลั่งห้าวงพลันหดตัวรวมกันกลายเป็นวงแหวนสีเทาวงเดียว จากนั้นสองมือพลันพลิกหงาย วงแหวนสีเทาหมุนติ้วมาขวางอยู่เบื้องหน้าร่าง
“ปัง!”
ทันทีที่แสงกระบี่สีเทาทะลวงผ่านวงแหวน มันก็หยุดชะงัก วงแหวนยมโลกคลั่งหมุนไปด้านข้างครั้งหนึ่ง มันก็ติดแน่นอยู่ด้านใน
ลวดลายบนวงแหวนยมโลกคลั่งส่องแสงเจิดจ้า ปราณยมโลกสีเทาอ่อนสายแล้วสายเล่าไหลทะลักออกมาจากกระบี่แม่แล้วโถมเข้าไปในวงแหวนยมโลกคลั่ง กระบี่แม่ทั้งเล่มสั่นระริกอยู่กลางอากาศ ส่งเสียงครวญครางออกมาเป็นระยะ
“เหอะ ขอเพียงเป็นปราณยมโลกก็ไม่มีสิ่งใดที่วงแหวนยมโลกคลั่งนี่ดูดกลืนไม่ได้ วันนี้อาวุธยมโลกชิ้นนี้ของเจ้าถูกข้าควบคุมไว้แล้ว ดูสิว่าเจ้ายังจะ…” บุรุษผู้สวมชุดผ้าไหมเอ่ยอย่างหยิ่งยโส ราวกับว่าชัยชนะอยู่ในกำมือ
ทว่าเขายังเอ่ยไม่ทันจบ ใบหน้าของหลิ่วหมิงก็เผยสีหน้าเหี้ยมเกรียมออกมา เคล็ดวิชาที่มือเปลี่ยนไปทันที
เสียงใสกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น
กระบี่น้อยสีเทาอ่อนที่ยาวเพียงหนึ่งฉื่อกว่าเล่มหนึ่ง พุ่งออกมาจากกระบี่แม่ดุจสายฟ้าแลบ
เมื่อบุรุษผู้สวมชุดผ้าไหมรู้สึกว่าท่าไม่ดีแล้วคิดจะทำอะไรบางอย่างก็สายไป กระบี่น้อยสีเทาอ่อนพุ่งทะลวงผ่านกลางหว่างคิ้วของเขาก่อน
“เจ้า…”
บุรุษผู้สวมชุดผ้าไหมสองตาเบิกโตเผยอปากมองหลิ่วหมิงจากนั้นก็ล้มลงไปที่พื้น
อึดใจต่อมาหลิ่วหมิงพลันกวักมือข้างหนึ่ง แสงกระบี่สีเทาสองสาย สายหนึ่งยาว สายหนึ่งสั้น บิน “ฟึบ” กลับมาในมือของเขา จากนั้นสองมือของเขาก็ถูกันเบาๆ กระบี่วิญญาณมืดแม่ลูกสองเล่มผสานกลายเป็นร่างเดียวอีกครั้ง
เหตุการณ์พลิกผันครั้งนี้เกิดขึ้นเร็วดุจเหยี่ยวโฉบกระต่าย อึดใจก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงยังเหมือนจะตกเป็นรองอย่างยิ่ง แต่ปรากฏว่าเพียงสองสามลมหายใจหลังจากนั้นบุรุษผู้สวมชุดผ้าไหมผู้ครอบครองวงแหวนยมโลกคลั่งก็สิ้นใจบนเวทีประลอง!
ภาพนี้ทำให้ผู้ที่ล้อมชมอยู่ข้างเวทีประลองพากันตาโตอ้าปากค้าง!
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ทันเห็นชัดด้วยซ้ำว่าเกิดสิ่งใดขึ้น พวกเขาเห็นเพียงแสงสีเทาจางๆ สายหนึ่งพุ่งผ่านไป ทันใดนั้นบุรุษผู้สวมชุดผ้าไหมก็ล้มลงกับพื้น
เจ้าเมืองเหลิ่งเยวี่ยที่อยู่บนแท่นสูงย่อมสังเกตเห็นภาพนี้ แต่เขาเหลือบมองไวๆ หนหนึ่งเท่านั้นก็เคลื่อนสายตาออกไป
นี่ก็ไม่แปลก แม้พลังระดับแก่นเสมือนสู้ชนะระดับแก่นแท้จะไม่ง่าย แต่ในสายตาของระดับดาราพยากรณ์เช่นเขาจะเห็นอยู่ในสายตาจริงๆ ได้อย่างไร
บนเวทีประลองที่หลิ่วหมิงอยู่ หลังจากบุรุษผู้สวมเสื้อผ้าหรูหราล้มกับพื้น ม่านแสงชั้นจำกัดสีเทาที่ล้อมทั้งสองคนอยู่ก็พังทลายตาม
เผ่ายมโลกฝ่ายดำเนินการสองตนกระโดดขึ้นมาบนเวที เมื่อยืนยันว่าบุรุษผู้สวมชุดผ้าไหมตายสนิทแล้วจึงยกศพของเขาลงจากเวทีประลองอย่างว่องไว แต่สายตาที่มองมาทางหลิ่วหมิงมีแววตาหวาดกลัวอยู่น้อยๆ
หลิ่วหมิงไพล่สองมือไว้ด้านหลังมองดูเผ่ายมโลกฝ่ายดำเนินการทำทุกสิ่งนี้จนเสร็จ หลังจากทั้งสองตนลงจากเวทีไป เขาก็กวาดสายตาผ่านร่างผู้คนที่ล้อมชมอยู่นอกเวทีประลองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ผู้เฒ่ากับหญิงสาวมองหน้ากัน จากนั้นปราณดำก็ม้วนรอบตัวพาพวกเขาเหาะไปยังเมืองเหลิ่งเยวี่ยดุจเดียวกัน
เมื่อเห็นเจ้าเมืองเหลิ่งเยวี่ยกับผู้อาวุโสทั้งสองไปจากเวทีประลองแล้ว เสียงเอะอะก็ดังขึ้นในหมู่ผู้คนอีกครั้ง พวกเขาเริ่มถกเถียงเกี่ยวกับการประลองเมื่อครู่รวมถึงผู้ฝึกฝนเผ่ายมโลกสิบคนที่ได้รับคัดเลือกใหม่ครั้งนี้อย่างตื่นเต้น
เพราะว่าคนเหล่านี้ขอเพียงทำภารกิจคุ้มกันสำเร็จลุล่วง เมื่อกลับมาไม่เพียงจะได้รางวัลก้อนโต ปกติแล้วยังจะได้รับแต่งตั้งจากเจ้าเมืองเหลิ่งเยวี่ยให้เป็นแม่ทัพมืด ส่งไปเฝ้าสายแร่หินยมโลกจำนวนหนึ่ง นับจากนี้ย่อมไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีทรัพยากรที่จำเป็นต่อการฝึกฝนอีกต่อไป
หลังจากนั้นพวกหลิ่วหมิงใช้ป้ายประจำตัวพิสูจน์ตัวตนแล้วได้รับแจ้งให้แต่ละตนกลับไปพักผ่อน ก่อนขบวนบรรณาการออกเดินทางจะแจ้งล่วงหน้า
วันหนึ่งหลังจากนั้นค่อนเดือน ในห้องลับของโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมือง หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิถือแผนที่อยู่ในมือ ใบหน้าฉายแววครุ่นคิดเรื่องการส่งมอบบรรณการที่กำลังจะเริ่ม
ในตอนนี้เองป้ายประจำตัวของเขาก็ทอแสงสีเทาออกมา ต่อจากนั้นตัวอักษรขนาดเล็กสีม่วงอ่อนแถวหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
“เที่ยงวันของสามวันให้หลัง รวมตัวเมืองฝั่งตะวันตก!”
“ในที่สุดก็จะออกเดินทางแล้ว”
หลิ่วหมิงเห็นดังนั้นในดวงตาก็ฉายแววตื่นเต้นเล็กน้อย หลังจากพึมพำกับตนเองหนึ่งประโยคก็เก็บแผนที่แล้วออกจากโรงเตี๊ยม มุ่งหน้าไปยังตลาดทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเหลิ่งเยวี่ย
สามวันให้หลัง
บนทุ่งราบนอกกำแพงเมืองสูงฝั่งประตูเมืองตะวันตกของเมืองเหลิ่งเยวี่ย ธงผืนยักษ์สีน้ำเงินสูงหลายจั้งผืนหนึ่งสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลม บนธงเขียนตัวอักษรสีเงินตัวใหญ่สองตัวว่า “เหลิ่งเยวี่ย” ดูสะดุดตายิ่งนัก
แท่นสูงใต้ธงผืนใหญ่ เหลิ่งเยวี่ยผู้เป็นเจ้าเมืองสวมอาภรณ์สีเงินยืนเอามือไพล่หลังอยู่
เบื้องหน้าเขามีผู้ฝึกฝนเผ่ายมโลกสวมชุดเกราะสีน้ำเงินหม่นตนแล้วตนเล่ายืนเรียงรายอย่างเป็นระเบียบมากถึงห้าร้อยตน
เผ่ายมโลกเหล่านี้แบ่งออกเป็นห้ากองทัพ ด้านหน้าแต่ละกองทัพมีผู้ฝึกฝนเผ่ายมโลกสวมชุดเกราะสีเงินยืนอยู่ตนหนึ่ง พวกเขาแผ่พลังระดับแก่นแท้ออกมาอยู่เลือนราง
ข้างตัวเผ่ายมโลกเหล่านี้มีภูตสัตว์ขนาดยักษ์ตัวใหญ่เจ็ดถึงแปดสิบจั้งหมอบอยู่บนพื้นห้าตัว
ภูตสัตว์เหล่านี้หน้าตาคล้ายค้างคาว สองตาถูกบางสิ่งปิดเอาไว้ บนแผ่นหลังแบนราบขนาดหนึ่งหมู่กว่ามีสิ่งก่อสร้างทรงกลมสีเทาหม่นสร้างเอาไว้มากมาย แต่ละหลังขนาดราวเจ็ดแปดจั้ง
“ส่งผู้คุ้มกันตนอื่นไปมากมายเช่นนี้ กังวลว่าพวกเราจะคุ้มครองของบรรณาการรอบนี้ไม่ได้หรือไร?” ข้างขบวนมีผู้ฝึกฝนเผ่ายมโลกที่สวมชุดหลากสีสิบตนยืนอยู่ พวกเขาก็คือพวกหลิ่วหมิงที่ถูกคัดเลือกมาเข้าร่วมการคุ้มกันนั่นเอง บุรุษเผ่ายมโลกร่างใหญ่ที่ควบคุมวานรยักษ์ตนนั้นเห็นภาพนี้ก็เอ่ยอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา