ปรากฏว่าปี้เหยียนเพิ่งพูดจบ รถภูตค้างคาวใต้เท้าทั้งสองคนก็สั่นวูบหนึ่งแล้วเริ่มเลี้ยวเปลี่ยนทิศเคลื่อนไปทางทิศตะวันตก
หลิ่วหมิงมองไปด้านหน้าสุดของรถคันนี้
แล้วก็เห็นเหลิ่งเหมิงปรากฏตัวอยู่ที่นั่นตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ เขายืนตัวตรง สองมือไพล่อยู่ด้านหลัง
รถภูตค้างคาวสี่ตัวสองฝั่งก็เริ่มเลี้ยวด้วยเช่นกัน รักษารูปขบวนเดิมเอาไว้ต่อ
“พี่ปี้เหยียนรอบรู้เกินใครจริงๆ ทายความคิดหัวหน้าขบวนเหลิ่งได้ครั้งเดียวถูก” ตอนนี้หลิ่วหมิงจึงยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นมา
“ฮ่ะๆ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ขอแค่สมองไม่พัง ผู้ใดก็ไม่มีทางเลือกฝ่าหุบเขาสิ้นสูญแห่งนี้” ปี้เหยียนยิ้ม จากนั้นก็สนทนาเรื่อยเปื่อยกับหลิ่วหมิงอีกสองประโยคแล้วจึงหมุนตัวเดินกลับไป
หลิ่วหมิงยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้กลับไปทันที สายตาเหล่มองแผ่นหลังของปี้เหยียน บนหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาครู่หนึ่ง
ตลอดทางปี้เหยียนหาเรื่องคุยกับเขาเป็นระยะ แม้ไม่รู้สึกว่าคนผู้นี้มีเจตนาร้ายอันใด แต่ถ้อยคำที่เอ่ยมักถามถึงเรื่องวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬอยู่เรื่อยๆ คล้ายเขารู้จักวิชานี้อยู่บ้าง
นี่ทำให้หลิ่วหมิงยิ่งไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย
แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายมุ่งหวังสิ่งใด เขาก็ไม่คิดจะสนใจมากนัก เมื่อเวลามาถึงเขาก็จะหนีจากไปให้ไกล ต่อให้อีกฝ่ายมีเจตนาร้ายจริงก็ไม่มีทางทำอันใดเขาได้เด็ดขาด
ขบวนรถเปลี่ยนทิศทาง เหาะเร็วรี่ไปทางทิศตะวันตก
ครึ่งวันหลังจากนั้น เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!
ด้านหลังยอดเขาลูกหนึ่งทางฝั่งซ้ายฉับพลันมีเสียงระเบิดดังสนั่น จากนั้นแสงสีเทาหลายร้อยสายก็พุ่งออกมาพร้อมเสียงดังลั่น
แสงสีเทาเหล่านี้ลากหางยาวเฟื้อยราวกับดาบตกวาดผ่านฟ้ามาพร้อมกับเสียงแหวกอากาศดังกึกก้อง พวกมันพุ่งพรวดมาเหนือศีรษะคนจากเมืองเหลิ่งเยวี่ย
“ศัตรูโจมตี!”
เสียงเตือนดุดันดังขึ้นในพริบตาจนทำให้ทั้งขบวนสะเทือน
รถภูตค้างคาวทั้งห้าลำหยุดทันที รถภูตค้างคาวลำหน้าสุดมีผู้คุ้มกันยี่สิบกว่าตนเหาะออกไปในทันใด บนร่างพวกเขาเปล่งแสงสีขาวสว่างเชื่อมต่อกันเป็นม่านแสงสีขาวมหึมาหลายสิบจั้งผืนหนึ่งขวางอยู่ด้านหน้าขบวนรถ
หลิ่วหมิงเดิมทีนั่งขัดสมาธิหลับตาทำสมาธิอยู่ในห้องลับ เมื่อได้ยินเสียงเตือนก็เดินออกมาทันที สีหน้าเคร่งขรึมมองไปไกล
ผู้คุ้มกันที่ถูกเลือกคนอื่นก็ทยอยเดินออกมาด้วย
รถภูตค้างคาวของหลิ่วหมิงอยู่ตรงกลางขบวน จากตรงนี้เห็นชัดเจนว่าด้านในแสงเปลวเพลิงสีเทาคือก้อนหินยักษ์ทรงกลมก้อนแล้วก้อนเล่าที่มีเปลวเพลิงร้อนแรงลุกโชนหุ้มอยู่ มันคล้ายอุกกาบาตเพลิงซึ่งเป็นวิชาสายอัคคีชั้นสูงของแผ่นดินจงเทียนอยู่บ้าง แต่พลังดูเหมือนจะมากกว่า
ครืน! อุกกาบาตเหล่านี้โจมตีลงบนม่านแสงสีขาวอย่างหนักหน่วงราวกับเม็ดฝน
ม่านแสงสีขาวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและหม่นแสงลงอย่างรวดเร็ว ผู้คุ้มกันสิบกว่าตนที่กางม่านแสงอยู่พลังเพียงระดับผลึกขั้นต้น พวกเขาหน้าถอดสีอ้าปากกระอักเลือดออกมาในทันใด
ม่านแสงทนอยู่ได้เพียงสองสามลมหายใจก็ส่งเสียงดังวิ้งแล้วเริ่มเกิดรอยปริแตกเส้นแล้วเส้นเล่า
“ฟึบ” “ฟึบ” เวลานี้เองก็มีผู้คุ้มกันระดับผลึกอีกยี่สิบกว่าตนเหาะเข้ามา แสงสีขาวหลายสายพุ่งออกจากร่างจมเข้าไปในม่านแสงสีขาว
เมื่อมีผู้คุ้มกันสี่สิบกว่าตนค้ำจุนอยู่ ในที่สุดม่านแสงสีขาวก็มั่นคงจนขวางก้อนหินที่มีเปลวเพลิงลุกไหม้ที่เหลือเอาไว้ได้
เมื่อการโจมตีถูกชะลอไว้ ผู้คุ้มกันของเมืองเหลิ่งเยวี่ยก็ทยอยเหาะออกมาจากห้องลับด้านในรถภูตค้างคาว พริบตาเดียวบนแผ่นหลังของรถภูตค้างคาวทั้งห้าลำก็มีกองทัพห้ากองยืนอยู่ หัวหน้าระดับแก่นแท้ห้าตนแยกย้ายกันยืนอยู่ตรงหัวของภูตสัตว์ด้านหน้าสุดของขบวน สีหน้าเคร่งขรึม
หลิ่วหมิงกับผู้คุ้มกันคนอื่นเห็นเช่นนี้จึงพากันเหาะเข้าไปทันที
ครู่ต่อมาเงาคนมากมายก็พุ่งผ่านกลางท้องฟ้า พวกหลิ่วหมิงสิบคนทยอยร่อนลงด้านหลังเหลิ่งเหมิง แยกกันยืนมั่นคงอยู่สองฝั่ง แต่ละคนสีหน้าเคร่งขรึม
หลังจากฝนศิลาเพลิงมืดฟ้ามัวดินถูกม่านแสงสีขาวขวางไว้ได้จนหมด ยอดเขาฝั่งซ้ายก็เงียบสงบลง
“ผู้ใดกล้าจู่โจมเมืองเหลิ่วเยวี่ยของเรา ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ออกมาเสีย!” เหลิ่งเหมิงเห็นภาพนี้ บนใบหน้ากลับไม่มีสีหน้าผ่อนคลายสักนิด ตรงกันข้ามดวงตากลับวาวโรจน์มองไปทางยอดเขาฝั่งซ้าย แล้วตวาดเสียงดัง
สิ่งที่ตอบเขากลับเป็นเสียงประหลาดแสบแก้วหู!
เมื่อหลิ่วหมิงมองตามเสียงไปก็เห็นด้านหลังของยอดเขาฝั่งซ้าย มีอสูรแห่งความมืดขนาดมหึมาอย่างยิ่งหน้าตาคล้ายพยัคฆ์แต่มีปีกสองข้างบนแผ่นหลังตัวหนึ่งเหาะออกมา บนหลังของอสูรตัวนี้มีผู้ฝึกฝนเผ่ายมโลกกลุ่มใหญ่ยืนอยู่ กวาดมองครั้งเดียวก็เห็นว่ามีหกถึงเจ็ดร้อยตน มากกว่าขบวนของเมืองเหลิ่งเยวี่ย
ผู้ฝึกฝนเหล่านี้แต่ละตนสวมชุดสีฟ้า ผู้ฝึกฝนสิบกว่าตนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดกำลังมองมาทางผู้คนของเมืองเหลิ่งเยวี่ยอย่างมาดร้าย
ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าเสือยักษ์ติดปีกคือบุรุษร่างยักษ์สูงเก้าฉื่อผู้หนึ่ง เขาสวมอาภรณ์ตัวยาวสีฟ้า บนใบหน้ามีรอยแผลขนาดใหญ่เส้นหนึ่งพาดจากหน้าผากจรดมุมปาก ทำให้บุรุษร่างยักษ์ดูดุร้ายอย่างยิ่ง
“หลานซวี่เจ้ามาที่นี่ เจ้าเมืองหานสุ่ยสั่งให้พวกเจ้ามาซุ่มโจมตีพวกเราหรือ?” เหลิ่งเหมิงรูม่านตาหดเล็กจ้องบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้า แล้วตวาดเสียงดุดัน
“แย่แล้ว พวกนี้เป็นคนของเมืองหานสุ่ย เมือหานสุ่ยกับเมืองเหลิ่งเยวี่ยเป็นศัตรูกันมาตลอดเพราะปัญหาเรื่องอาณาเขต ศึกดุเดือดคงกำลังจะปะทุขึ้นแล้ว” ปี้เหยียนที่ยืนอยู่ข้างกายหลิ่วหมิง เอ่ยเสียงเบา
หลิ่วหมิงสีหน้าเรียบเฉยพยักหน้านิดๆ แต่ในใจกลับยินดี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา