“หึๆ ข้าเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์ของพี่อิ่นหานจะต้องบรรลุเงื่อนไขของข้าได้แน่ ส่วนเรื่องหอบของหนี…” ปี้เหยียนหัวเราะหึๆ มือเปล่งแสงสีแดง ผลึกสีเลือดขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นมาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด
ผลึกแก้วใสแวววาวทอแสงสีแดงประหลาดอยู่เรืองๆ ด้านในมีเส้นโลหิตหน้าตาเหมือนหนอนนับไม่ถ้วนคืบคลานอยู่อย่างเชื่องช้า แลดูลึกลับ
“นี่คือผลึกยมโลกคำสาปโลหิต พี่ปี้เหยียนหมายความว่า…” หลิ่วหมิงเหลือบมองผลึกหินแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้เผยสีหน้าตกใจอันใดออกมา
ระหว่างทางมาเมืองปี้โยวแห่งนี้ หลิ่วหมิงได้รู้เรื่องราวของเผ่ายมโลกมาไม่มากก็น้อย เขารู้ว่าผลึกยมโลกคำสาปโลหิตนี่คือสิ่งที่เหมือนสัญญาเวทหรือคำสาบานโลหิตที่เผ่ายมโลกใช้กันมานานแล้วชนิดหนึ่ง
“พี่อิ่นหานรู้จักสิ่งนี้นั่นยิ่งดี! คัมภีร์เล่มนี้ล้ำค่าอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน ไม่สู้ท่านกับข้าสาบานต่อคำสาปโลหิตเพื่อแสดงความจริงใจ” ปี้เหยียนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
ดวงตาของหลิ่วหมิงทอประกายวูบหนึ่ง แต่ไม่ได้ขบคิดนานนักก็พยักหน้าแสดงออกว่าไม่เห็นแย้ง
ปี้เหยียนเห็นเช่นนี้จึงโยนผลึกสีเลือดมาตรงหน้าแล้วยกมือขึ้นยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมาทันที
ผลึกสีเลือดลอยอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคนแล้วหมุนอยู่กลางอากาศในทันใด
ปี้เหยียนมองหลิ่วหมิงแล้วยกนิ้วขึ้นมาเค้นโลหิตหยดหนึ่งดีดลงบนผลึกสีเลือด
ทันทีที่เลือดหยดนั้นสัมผัสผลึกหินสีเลือดก้อนนี้ มันก็กลายเป็นเส้นไหมโลหิตเรียวเล็กเท่าเส้นผมเส้นแล้วเส้นเล่าจมหายเข้าไปในผลึกหินทันที
ต่อจากนั้นเส้นโลหิตที่ราวกับหนอนยั้วเยี้ยในผลึกหินฉับพลันประหนึ่งมีชีวิต พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวในผลึกหินอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงทำตาม เขายกมือขึ้นหยดเลือดหยดหนึ่งลงบนผลึกหิน
เมื่อเลือดจมลงไป เส้นโลหิตด้านในผลึกหินก็ขยับเร็วขึ้นอีกหลายส่วนในทันใด ท่าทางเหมือนอึดใจต่อมาจะทลายก้อนหินออกมา
ทั้งสองคนสบตากันทันทีแล้วชูฝ่ามือขึ้นฟ้าพร้อมกัน หลังจากเอ่ยคำสาบานตามข้อตกลง ผลึกหินสีเลือดที่ลอยอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคนพลันเปล่งแสงสีเลือดสว่างจ้าแล้วส่งเสียงดัง “ปัง” จากนั้นแตกสลายไปทันที
เส้นไหมโลหิตรูปร่างเหมือนหนอนยั้วเยี้ยพุ่งออกมาจากรอยแตก ม้วนตัวกลายเป็นแสงสีเลือดสองสาย สายหนึ่งแล่นเข้าไปในหน้าผากของปี้เหยียน ส่วนอีกสายหนึ่งบินเข้ามาในหน้าผากของหลิ่วหมิง แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าความเย็นที่หนาวเหน็บจนเสียดแทงกระดูกสายหนึ่งไหลจากหว่างคิ้วทะลวงเข้าสู่ร่างแล้วพุ่งสะเปะสะปะจนไปทั่วร่างของเขา จากนั้นพุ่งหายเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณกลายเป็นผลึกหน้าตาคล้ายหนอนสีเลือดตัวหนึ่งขดอยู่บนแก่นแท้สีดำขาว
เขาลองกระตุ้นพลังจิตเล็กน้อยจากทะเลจิตสัมผัสไปแตะหนอนตัวน้อยสีเลือด
ผลปรากฏว่าลวดลายหนอนน้อยสีเลือดไม่ขยับราวกับเป็นสิ่งที่ตายแล้ว แต่หลิ่วหมิงสัมผัสลมปราณดุร้ายที่แฝงอยู่ในหนอนน้อยสีเลือดได้อย่างชัดเจน
“ในเมื่อสาบานเรียบร้อย ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน สองเดือนหลังจากนี้ค่อยพบกัน” หลิ่วหมิงประสานมือแล้วเก็บคัมภีร์สีฟ้าในมือไป เขาเหลือบมองกำแพงด้านหนึ่งของห้องลับเหมือนเจตนาแต่ก็ไม่เจตนาแล้วหมุนตัวออกจากห้องลับ
หลังจากปี้เหยียนมองส่งหลิ่วหมิงออกจากห้องก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้ศิลาอย่างเอื่อยเฉื่อย เขารินชาจิตวิญญาณถ้วยหนึ่งแล้วจิบคำเล็กๆ
ในตอนนี้เองด้านในห้องลับก็มีเสียงดังกึก บนกำแพงด้านหนึ่งมีช่องปรากฏขึ้นมา ผู้เฒ่าผมขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านในอย่างเชื่องช้า
ใบหน้าของปี้เหยีนไม่เผยสีหน้าประหลาดใจแม้แต่น้อย เขายังคงสนใจแต่ลิ้มรสชา เห็นชัดว่ารู้อยู่ก่อนแล้วว่าคนผู้นี้อยู่ที่นี่
“เจ้ามอบบันทึกหมิงอวี้ให้แก่เผ่ายมโลกที่ไม่รู้ที่มาแน่ชัดผู้นี้ไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ?” ผู้เฒ่าผมขาวมองปี้เหยียน คิ้วขาวขมวดพลางเอ่ยขึ้น
“หึๆ คัมภีร์ ของเช่นนี้เหมาะนำมาแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นที่สุดแล้ว เพราะมันทำซ้ำได้เป็นพันหมื่น ขอเพียงลั่นวาจาสาบาน เจ้าก็มีแต่ได้กำไรไม่มีวันขาดทุน บันทึกหมิงอวี้นั่นสำหรับข้าจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ หากแลกผู้ช่วยที่แข็งแกร่งมาได้คนหนึ่ง สำหรับพวกเราไยไม่ใช่ได้กำไรครั้งใหญ่” ปี้เหยียนหัวเราะหึๆ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจสักนิด
“ต่อให้เป็นเช่นนี้ อิ่นหานผู้นี้ก็แค่ระดับแก่นแท้ขั้นต้นตนหนึ่งเท่านั้น จากที่เจ้าเล่าสามสิบสี่สิบปีก่อนหน้านี้พลังก็เพิ่งระดับแก่นเสมือนเท่านั้น ไม่แน่อาจเพิ่งผนึกแก่นแท้ได้ไม่กี่ปีนี้ ระดับพลังยังไม่ทันมั่งคงเลยนะ! แลกเปลี่ยนเช่นนี้ เจ้าน่าจะขาดทุนไม่น้อย” ผู้เฒ่าผมขาวสีหน้ากระตุกไปวูบหนึ่งแล้วแค่นเสียงหยันเอ่ยออกมา
“อิ่นหานผู้นี้ไม่ใช่ระดับแก่นแท้ธรรมดาเช่นนั้นแน่นอน เจ้าก็รู้ว่าลางสังหรณ์ของข้าแม่นยำเสมอ อีกอย่างก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นเขาลงมือ วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่เขาใช้พลังไม่น้อยจริงๆ อีกทั้งยังใช้พลัง ‘คุกมืด’ ได้แล้วด้วย นี่ย่อมเพียงพอแล้ว” ปี้เหยียนดวงตาทอประกายเอ่ยขึ้นมา
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย!” ผู้เฒ่าผมขาวสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แล้วเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง
“ทั้งที่ไม่มีวิชาเสริมแต่กลับฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจนถึงขั้นปลายได้ เกรงว่าทั่วทั้งยมโลกคงมีผู้ทำได้ไม่กี่คน ทั้งพลังจิตสัมผัสของเขาก็แข็งแกร่งยิ่งนัก เมื่อครู่แม้ไม่เปิดโปง แต่ก็คงรู้ว่าเจ้าซ่อนอยู่ด้านในตั้งนานแล้ว” ปี้เหยียนยิ้มน้อยๆ เอ่ยต่อ
“ไม่มีทาง! วิชาซ่อนเร้นกายของข้าต่อให้เป็นเจ้าเมืองระดับดาราพยากรณ์พวกนั้นก็ไม่แน่ว่าจะมองออก เจ้าหนูผู้นี้เพิ่งเข้าสู่ระดับแก่นแท้ขั้นต้นไม่นาน ไม่มีทางมีพลังจิตแข็งแกร่งปานนี้แน่…” ผู้เฒ่าผมขาวฟังแล้วก็ตกใจระคนคลางแคลง
“หึๆ เจ้าไม่เชื่อก็ช่าง แต่พลังของอิ่นหานผู้นี้ยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งดี ดูท่าครั้งนี้เจ้ากับข้าจะมีหวังจับเจ้าซวีหลิงนั่น…” ปี้เหยียนพูดถึงตรงนี้ ดวงตาก็ทอประกายเย็นเยียบ ออกแรงกำถ้วยชาจิตวิญญาณในมือ
“เพล้ง” ถ้วยชาในมือถูกเขาบีบจนกลายเป็นผุยผงร่วงโปรยปรายลงไปเบื้องล่าง
ผู้เฒ่าผมขาวสีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุด ราวกับกำลังใคร่ครวญความหมายในถ้อยคำที่ปี้เหยียนเอ่ยออกมาเมื่อครู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา