“ระดับแก่นแท้ขั้นกลาง”
เจียหลานได้ยินพลันสูดลมหายใจดังเฮือกด้วยตกตะลึงยิ่งนัก
หลิ่วหมิงเข้าไปในทางปีศาจร้ายจนถึงตอนนี้เป็นเวลาทั้งหมดไม่ถึงห้าสิบปี ข้ามระดับชั้นต่อเนื่องถึงสองขั้นได้ นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์หรือชีพจรจิตวิญญาณแล้ว
หากเขาบรรลุระดับแก่นแท้ขั้นปลายในเวลาอันใกล้อีก คงกลายเป็นเหตุการณ์อันหายากที่เกิดขึ้นน้อยนิดไม่กี่ครั้งตลอดช่วงเวลายาวนานนับอนันต์ของนิกายยอดบริสุทธิ์
“สงครามกวาดล้างเหล่าแมลงใกล้จะจบลงแล้ว แต่บริเวณนี้ยังอันตรายอยู่ ศิษย์น้องตามข้ากลับนิกายก่อนดีหรือไม่?” สายตาของหลิ่วหมิงมองไปทิศที่ตั้งนิกายยอดบริสุทธิ์แล้วเอ่ยเช่นนี้
“ก็ดี แต่ข้าคงต้องส่งข่าวบอกอาจารย์ก่อนสักคำ ไม่ให้ท่านผู้เฒ่าต้องกังวล” เจียหลานระงับความตกตะลึงในใจได้ในที่สุด นางเอ่ยตอบอย่างว่าง่ายก่อนจะพลิกมือเรียกยันต์สีขาวแผ่นหนึ่งออกมายกขึ้นจรดริมฝีปากสีแดงพลางกระซิบถ้อยคำแผ่วเบา จากนั้นสะบัดมือครั้งหนึ่ง ยันต์สื่อสารพลันกลายเป็นแสงสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งจากไปไกลอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงแย้มรอยยิ้ม มือใหญ่สะบัดครั้งหนึ่ง ปราณสีดำสายหนึ่งพลันห้อมล้อมทั้งสองเอาไว้ มันหมุนกลางอากาศรอบหนึ่งแล้วเหาะจากไปไกลอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นสองชั่วยาม บนยอดเขาเลื่อนลอยแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ แสงสีดำเส้นหนึ่งก็เหาะเร็วรี่มาแต่ไกล มันกะพริบสองสามครั้ง แสงรัศมีก็ดับลงเผยร่างของหลิ่วหมิงกับเจียหลานออกมา
บนยอดเขาเลื่อนลอยว่างเปล่า ไม่เห็นเงาผู้ใด
“ครั้งนี้ข้าได้รับคำสั่งจากท่านประมุขเทียนเกอให้ลอบเข้าไปยังยอดเขาแสงอัสดง แม้ภารกิจสำเร็จแล้ว แต่ก็ยังต้องไปรายงานเขาด้วยตนเองสักหน่อย” หลิ่วหมิงหันมาบอกกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยน
“ข้าเข้าใจ ท่านจัดการธุระสำคัญก่อนเถิด” ดวงตาของเจียหลานฉายแววอาลัยอาวรณ์ แต่สุดท้ายก็พยักหน้า
ระหว่างทางกลับเทือกเขา หลิ่วหมิงเล่าภารกิจครั้งนี้ของเขาให้เจียหลานฟังคร่าวๆ แล้ว ในเมื่อยามนี้การสู้รบกวาดล้างจบลงแล้วย่อมไม่จำเป็นต้องเก็บเป็นความลับต่อ
หลิ่วหมิงพยักหน้าให้เจียหลานจากนั้นจึงหมุนตัวกลายเป็นแสงสีดำเส้นหนึ่งเหาะเร็วรี่ไปทางยอดเขาหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์
เจียหลานมองเงาร่างของหลิ่วหมิงหายลับไปไกลอย่างรวดเร็ว ดวงตาฉายแววหม่นหมองเล็กน้อย จากนั้นจึงถอนหายใจ เยื้องย่างว่องไว หมุนตัวมุ่งไปยังวิหารหลักของยอดเขาเลื่อนลอย
……
ไม่นานนักหลิ่วหมิงก็มาถึงลานกว้างหน้าวิหารหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์ เพิ่งร่อนลงมาในหูก็ได้ยินเสียงของเทียนเกอเจินเหรินดังขึ้น
เขาเปลี่ยนสีหน้าไปทันที รีบยกเท้าก้าวเดินเข้าไปในวิหารหลัก
หลังจากเวลาชั่วจิบชา เขาก็มาถึงห้องขนาดสิบกว่าจั้งแห่งหนึ่งในตำหนักข้าง เทียนเกอเจินเหรินนั่งสง่าอยู่บนตำแหน่งประธาน ใบหน้าเอิบอิ่มด้วยความยินดีปรีดา
“หลิ่วหมิง เจ้าไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังจริงๆ ไม่เพียงทำภารกิจที่นิกายมอบหมายลุล่วงอย่างราบรื่น ยังล่อแมลงระดับดาราพยากรณ์ตัวหนึ่งออกไปอีก?” เทียนเกอเจินเหรินจิบชาจิตวิญญาณคำหนึ่งแล้วยิ้มน้อยๆ
“ท่านประมุขชมเกินไปแล้ว ศิษย์เพียงทุ่มเทกำลังที่มีอยู่น้อยนิดเพื่อนิกายเท่านั้น” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างถ่อมตน ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ล่อเผ่าหนอนผีเสื้อระดับดาราพยากรณ์ออกไปสังหาร
อย่างไรก็ตามการที่ระดับแก่นแท้ขั้นกลางสังหารผู้ที่อยู่ในระดับดาราพยากรณ์ได้ เล่าอย่างไรก็น่าตกตะลึงเกินไปสักหน่อย
“ในเมื่อทำเรื่องนี้สำเร็จ นิกายย่อมไม่เอาเปรียบเจ้า” ทันใดนั้นเสียงทุ้มเข้มเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
คลื่นสั่นสะเทือนก่อตัวขึ้นกลางอากาศด้านในตำหนักข้าง รอยแยกมิติสีดำเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ชายหนุ่มชุดเทาผู้หนึ่งก้าวเดินเอื่อยเฉื่อยออกมาจากด้านใน
“คารวะผู้อาวุโสสูงสุดเสวียนอวี๋” เทียนเกอเจินเหรินค้อมกายคำนับ
“ศิษย์คารวะผู้อาวุโสสูงสุด” หลิ่วหมิงก็คารวะอย่างนอบน้อมดุจเดียวกัน
ผู้อาวุโสเสวียนอวี๋โบกมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย ส่งสัญญาให้ทั้งสองคนไม่ต้องพิธีรีตองแล้วเดินมานั่งบนตำแหน่งประธาน
หลังจากรอผู้อาวุโสเสวียนอวี๋นั่งลง เทียนเกอเจินเกรินก็นั่งลงตรงตำแหน่งด้านข้าง หลิ่วหมิงยืนนิ่งสงบอยู่ด้านล่าง
“หลิ่วหมิง ครั้งนี้เจ้าผนึกทางเชื่อมมิติของเผ่าหนอนผีเสื้อ สร้างความดีความชอบไม่น้อยในศึกกวาดล้างครั้งนี้ ข้าได้ยินเทียนเกอเล่าว่าภารกิจครั้งนี้คือบททดสอบการเป็นศิษย์ลับที่เขามอบให้เจ้า ในเมื่อเจ้าทำเรื่องนี้ลุล่วง นับตั้งแต่ตอนนี้เจ้าก็เป็นหนึ่งในศิษย์ลับของนิกายเราแล้ว” ผู้อาวุโสเสวียนอวี๋เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสงบ
“ขอบคุณปรมาจารย์เสวียนอวี๋!” หลิ่วหมิงดีใจยิ่งนัก รีบค้อมกายคำนับ
“ความดีความชอบของเจ้า ให้รางวัลแค่เป็นศิษย์ลับคงไม่พอ ข้าตั้งใจเตรียมของชิ้นหนึ่งไว้ให้เจ้าเป็นพิเศษ” ผู้อาวุโสเสวียนอวี๋หยิบกล่องหยกใสแวววาวกล่องหนึ่งออกมาจากแขนเสื้ออย่างไม่รีบร้อน แล้วโยนออกมาเหมือนไม่ใส่ใจ
กล่องหยกหมุนคว้างกลางอากาศรอบหนึ่งแล้วร่วงลงในมือหลิ่วหมิงอย่างแม่นยำ
หลิ่วหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเปิดกล่องหยก แล้วเห็นปีกสีเขียวสดทั้งชิ้นขนาดเท่าฝ่ามือคู่หนึ่งนอนนิ่งอยู่ด้านใน รูปร่างภายนอกเหมือนปีกจักจั่น ใสแวววาว แผ่แสงสีเขียวเรืองๆ
บนปีกจักจั่นสลักลวดลายจิตวิญญาณโบราณที่เขาอ่านไม่ออกไว้จำนวนหนึ่ง อีกทั้งมีกระแสลมสายแล้วสายเล่าลอยเคลื่อนไปมาสองฝั่งของปีกจักจั่น แลดูวิเศษยิ่งนัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา