พื้นดินบริเวณนั้นเต็มไปด้วยร่องรอยของกระบี่กับร่องลึกขนาดใหญ่ร่องหนึ่งที่ยาวเจ็ดแปดจั้ง
“ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะสามารถรับมือสามกระบี่ของข้าได้ ดูท่าเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าที่ร่ำลือเล็กน้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ล่ะก็ข้าจะยอมร่วมมือด้วยก็ได้ แต่พอได้ไข่ของเหยี่ยวขนเหล็กมามากกว่าสองใบล่ะก็ ข้าจะเอาไปสองในสามส่วน ข้อนี้เจ้าจะคัดค้านหรือไม่!” หญิงสาวเก็บกระบี่ยาวในมือใส่ฝักจากนั้นก็กล่าวอย่างราบเรียบ
“คิดไม่ถึงว่าวิชากระบี่ของเจ้าฝึกฝนจนถึงขั้นนี้แล้ว พลังของข้าเทียบเจ้าไม่ได้ย่อมต้องทำตามที่เจ้าบอกอยู่แล้ว” เซวี่ยชื่อยกแขนขึ้นมองดูโลหิตที่เต็มง่ามมือแล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“ดีมาก ถ้าหากพวกเราร่วมมือกันล่ะก็คงมีโอกาสรับมือกับเหยี่ยวขนเหล็กเหล่านั้นได้มากขึ้น” หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์พยักหน้า จากนั้นก็เงยหน้ามองไปยังยอดเขาชะโงกเงื้อมที่อยู่ไกลๆ พร้อมกับเผยสีหน้าอันโหดเหี้ยมออกมาชั่วขณะหนึ่ง
……
บนลานหินกว้างโล่งบนยอดเขาที่อยู่ตรงกลางยอดเขาลูกอื่นๆ และเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดนั้น เกาชง เฟิงฉาน และศิษย์นิกายต่างๆ อีกเจ็ดแปดคนรวมตัวอยู่ด้วยกัน ซึ่งก็ไม่ได้ต่อสู้กันแต่อย่างใด แต่กลับพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่เบาๆ ตอนที่พวกเขาพูดคุยกันนั้นต่างก็จ้องมองไปยังยอดเขาสูงใหญ่อยู่ตลอด ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความโลภ
……
ในถ้ำแห่งหนึ่งตรงตีนเขา ร่างเหลยเจิ้นถูกล้อมรอบด้วยสายฟ้า สองมือถือค้อนเล็กสีเงินที่มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่เช่นกัน เขากำลังฟาดค้อนใส่หินยักษ์สีดำที่ฝังอยู่ตรงผนังถ้ำไปมาอยู่ไม่หยุด
ทุกครั้งที่โบกสะบัดจะมีเส้นสายฟ้าขนาดใหญ่โจมตีลงไปบนหินยักษ์นั้น จนทำให้มันค่อยๆ สั่นไหวจนปรากฏรอยร้าวบนผิวของมัน และค่อยๆ ลึกลงไปเรื่อยๆ
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลังจากที่เหลยเจิ้นตะโกนเสียงต่ำแล้วกวัดแกว่งค้อนโจมตีออกไปอย่างรุนแรงแล้วเส้นสายฟ้าบนร่างก็หายไปทันที จากนั้นเขาก็เก็บค้อนเงิน และนั่งขัดสมาธิกำหนดลมหายใจเพื่อเข้าฌาน
ตอนนี้กลิ่นไอบนตัวเขาลงมาก ประจักษ์ชัดว่าเขาสูญเสียพลังเวทย์มากเกินไป
แต่ขณะนี้ได้เกิดฉากอันน่าประหลาดใจขึ้นบนหินสีดำ
หลังจากที่ยุติการโจมตีลงรอยแตกบนผิวหินก็ค่อยๆ ผสานเข้าหากัน
ผ่านไปไม่นานหินสีดำก็กลับมาเกลี้ยงเกลาเป็นอย่างมาก เพียงแต่ขนาดของมันเล็กกว่าก่อนหน้านั้นเท่าตัว
หลายชั่วยามผ่านไป เมื่อเหลยเจิ้นลืมตาทั้งสองขึ้น กลิ่นไอบนตัวก็ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติ เขาเก็บเศษหินขึ้นมาจากแถวนั้นหนึ่งชิ้น และสะบัดข้อมือโยนมันไปยังหินสีดำขนาดใหญ่
เสียงดัง “ตู้ม!”
พอเศษหินเข้าใกล้หินสีดำที่อยู่ห่างออกไปจั้งกว่าๆ ก็ถูกพลังไร้รูปบางอย่างกระทบกระเทือนจนแตกละเอียด ขณะเดียวกันผงหินที่แตกละเอียดเหล่านั้นก็ค่อยๆ ลอยเข้าไปในหินสีดำยักษ์ และรวมตัวกันจนเป็นหนึ่งเดียว
“ไม่ได้! มันยังไม่ลดลงจนถึงระดับที่ข้าจะทนต่อมันได้ จำเป็นต้องดำเนินต่อไปอีกถึงจะนำของล้ำค่าในนั้นออกมาได้”
เหลยเจิ้นกล่าวพึมพำ สายตาที่จ้องมองหินสีดำนั้นเต็มไปด้วยความเร่าร้อน
หินสีดำก้อนนี้ เมื่อสองวันก่อนเขาไล่ล่าปีศาจอสูรมาถึงตรงนี้ถึงค้นพบมันโดยไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อปีศาจอสูรที่ถูกไล่ล่าตนนั้นเข้าใกล้กับหินสีดำก็กลายเป็นเลือดถูกดูดเข้าไปในนั้น เขาถึงรู้ว่าตนเองค้นพบของล้ำค่ามหัศจรรย์ชิ้นหนึ่ง
ดังนั้นช่วงเวลาที่เหลือเขาจึงใช้พลังอัสนีที่ชำนาญที่สุดค่อยๆ โจมตีพลังด้านนอกที่แปลกประหลาดของหินก้อนนั้น
แต่ดูจากการโจมตีในสองวันที่ผ่านมา ถ้าจะเค้นพลังแปลกประหลาดในนั้นออกมาให้หมดสิ้น เกรงว่าถ้าไม่มีเวลาสิบวันถึงครึ่งเดือนคงจะทำไม่สำเร็จ แต่ยังดีที่เขาไม่จำเป็นต้องเค้นพลังเหล่านี้ออกมาทั้งหมด แต่เพียงแค่ทำให้มันอ่อนลงจนถึงระดับที่เขาสามารถรับมือได้ก็สามารถใช้อาวุธจิตวิญญาณเข้าไปโจมตีหินให้แตกละเอียด และนำสิ่งของในนั้นออกมาได้
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าของล้ำค่าชิ้นนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร แต่ด้วยความแปลกประหลาดที่มันแสดงออกมา ทำให้เชื่อได้ว่าขอเพียงได้ของสิ่งนี้ไป สิ่งที่เขาได้รับจากแดนลึกลับจะต้องไม่ด้อยไปกว่าผู้ใดอย่างแน่นอน
……
ในบ่อน้ำเร้นลับที่มีพุ่มไม้เตี้ยปกคลุมอยู่รอบด้าน เจียหลานกำลังยืนอยู่ข้างบ่อน้ำโดยที่มีแสงสีม่วงเคลื่อนไหวอยู่ในตาทั้งสอง นางกำลังเผชิญหน้ากับอสูรน้อยในบ่อน้ำสามตนที่มีเขาอยู่ตรงหัวหนึ่งเขา เกล็ดสีเขียวกระจายไปทั่วลำตัวของมัน
อสูรน้อยทั้งสามตนนี้ใช้กรงเล็บทั้งสี่เกาะอยู่บนผิวน้ำไม่ขยับเขยื้อน แสงสีน้ำเงินเปล่งประกายอยู่ในดวงตาทั้งหก มันจ้องมองเจียหลานโดยไม่แสดงความหวาดกลัวใดๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนกับว่ามันจะเป็นปีศาจอสูรที่มีพลังจิตแข็งแกร่งตั้งแต่เกิด
และใจกลางบ่อน้ำด้านหลังของอสูรน้อย มีดอกบัวสีฟ้าที่โปร่งแสงแวววาวลอยอยู่บนผิวน้ำ และมันถูกล้อมรอบด้วยพลังปราณอันแน่นหนา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เจียหลานทำเสียงฮึดฮัดออกมา และร่างของนางก็ถอยไปสองก้าวโดยไม่ได้ตั้งใจ
แสงสีฟ้าในดวงตาอสูรน้อยตรงหน้าทั้งสามก็เปล่งประกายขึ้น ร่างกายของมันก็สั่นไหวแล้วถอยไปหนึ่งก้าวเช่นกัน
เจียหลานจ้องมองอสูรน้อยทั้งสามอย่างละเอียดครู่หนึ่ง จากนั้นก็เคลื่อนไหวร่างหายเข้าไปในพุ่มไม้
สำหรับนางแล้ว การได้เจอกับ “บัวพลังวารี” ที่มีประโยชน์มากมายในแดนลึกลับแห่งนี้ นับว่าเป็นเรื่องไม่คาดฝันที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง
ของสิ่งนี้มีประโยชน์ต่อนางในภายหน้าเป็นอย่างมาก ถึงแม้อสูรวารีทั้งสามตนนี้จะจัดการได้ยาก แต่ก็ต้องหาวิธีจัดการให้ได้
แต่เวลาในแดนลึกลับยังเหลืออีกนาน อีกอย่างที่นี่ก็ค่อนข้างเร้นลับ นางไม่ต้องรีบเอาชีวิตเข้าแลกกับมัน รอคิดวิธีการที่แยบยลได้ก่อนแล้วค่อยมาก็ไม่สาย
……
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา