ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 13

สรุปบท ตอนที่ 13 ลานบรรจบจิตวิญญาณ: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปตอน ตอนที่ 13 ลานบรรจบจิตวิญญาณ – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

ตอน ตอนที่ 13 ลานบรรจบจิตวิญญาณ ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในบ้านหิน อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงชายเสื้อดำดังขึ้นมา

“พวกเจ้าทั้งหลายออกมากันให้หมด วันนี้พิธีเปิดจิตวิญญาณจะเริ่มขึ้นแล้ว ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่ลานบรรจบจิตวิญญาณกัน”

ถึงแม้เสียงจะไม่ค่อยดัง แต่กลับดังก้องไปทั่วบ้านหิน ทำให้หลิ่วหมิงได้ยินอย่างชัดเจน

หลิ่วหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เข้าไปหนึ่งเฮือก แล้วรีบลงจากเตียงหินผลักประตูเดินออกไป

เขาเห็นบรรดาเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยที่เดินเบียดเสียดกันอยู่ที่ถนนเส้นเล็กๆ ราวกับผึ้งแตกรังเลยทีเดียว และเมื่อทะลุออกจากป่าไม้นี้แล้ว ก็มองเห็นลานเวหาสีเทาขาวสองลานนอนอยู่บนทุ่งหญ้าอยู่รำไร

ชายเสื้อดำซึ่งก็คือ ‘ศิษย์พี่จาง’ กับ หญิงสาวที่คลุมเสื้อคลุมไร้แขนสีขาวซึ่งก็คือ ‘ศิษย์พี่สวิน’ ทั้งสองคนต่างก็ยืนอยู่บนเมฆคนละก้อน และเมฆแต่ละก้อนนั้นก็ลอยอยู่บนลานเวลาแต่ละลาน

ฟางสงกับศิษย์นิกายสายนอกสิบกว่าคน ยืนอยู่ในแถวนั้นด้วยท่าทีที่นอบน้อมสองมือประสานไว้ที่ด้านหน้า ไม่แสดงพฤติกรรมโหดร้ายน่ากลัวเหมือนกับตอนที่อยู่ต่อหน้าหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ

บรรดาเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยเมื่อเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ ก็ปฏิบัติตามอย่างสุภาพ ทุกคนต่างก็ชะลอฝีเท้าต่อแถวเดินเข้าไปในลานเวหา

จนเมื่อคนสุดท้ายเข้าไปในลานแล้ว ชายเสื้อดำเคลื่อนสายตาลงไปด้านล่าง หลังจากค้นพบว่าไม่ได้มีใครหายไป ก็พยักหน้าแล้วพลิกฝ่ามือเกิดเป็นแสงกลมๆ ออกมา มืออีกข้างก็ทำท่ามือ

แผ่นกลมๆ นั้นเปล่งประกายแสงมหัศจรรย์ออกมา

ครู่เดียวก็มีเสียงดัง “ฟู่!” อักขระจำนวนมากส่องประกายออกมาจากพื้นผิวภายนอกของลาน ในขณะเดียวกันม่านแสงสีขาวก็ปรากฏขึ้นมาหนึ่งชั้น แล้วแผ่คลุมลานเวหาทั้งหมดไว้

และรูปปั้นแกะสลักปีศาจเหล่านั้น ก็เกิดการสั่นไหวอ้าปากพ่นควันสีดำเข้มข้นออกมา

ควันดำพวกนี้ม้วนตัวพวยพุ่งอยู่ด้านล่าง ชั่วครู่เดียวก็กลายเป็นเมฆดำลอยไปแผ่คลุมลานเวหาและม่านแสงไว้

เสียงดัง “หึ่มๆ!” หลังจากนั้นลานเวหาทั้งสองก็บินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ค่อยๆ บินไปทางยอดเขาสูงใหญ่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกล

หลิ่วหมิงยืนอยู่ใกล้รูปปั้นแกะสลักตัวหนึ่ง เขาจ้องมองไปที่แสงแห่งประกายจิตวิญญาณระยิบระยับเหล่านั้น ดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

และห่างจากเขาไปไม่ไกล คือมู่หมิงจูและเกาชงกำลังพูดคุยกันอย่างแผ่วเบา

เพียงแค่สิบกว่าวันที่ไม่ได้เจอกัน ทั้งสองคนดูสนิทสนมกันมากขึ้นกว่าเดิม

และกลางลานเวหานั้น เหลยเจิ้นยืนตระหง่านอยู่ที่นั่นอย่างองอาจ บริเวณนั้นมีลูกหลานขุนนางห้อมล้อมกันอยู่สามสิบกว่าคน

บริเวณอื่นๆ ก็มีคนประมาณเจ็ดแปดคนหรือสิบกว่าคนรวมตัวอยู่กันเป็นกลุ่มๆ โดยแต่ละกลุ่มจะยืนห้อมล้อมคนๆ หนึ่งไว้

หลายวันมานี้บรรดาเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยเหล่านี้ ได้มาอยู่รวมกัน ต่างก็จับตัวกันเป็นกลุ่มๆ

ดูแล้วผู้ที่มีโอกาสผ่านพิธีเปิดจิตวิญญาณนี้มีจำนวนไม่มาก เลยตั้งความหวังให้กับคนที่มีโอกาสกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณไว้ เผื่อต่อไปถ้าพวกเขากลายเป็นศิษย์นิกายสายนอกจะได้มีที่พึ่งในภายภาคหน้า

ที่ลูกหลานตระกูลขุนนางเหล่านี้ทำแบบนี้ อาจเป็นเพราะว่าก่อนมาผู้อาวุโสในตระกูลคงได้กำชับไว้แล้ว และแม้กระทั่งเป้าหมายก็คงโดนกำหนดให้ตั้งแต่แรกแล้วเช่นกัน

มิเช่นนั้นคงไม่จับกลุ่มกันรวดเร็วขนาดนี้

ข้างกายของมู่หมิงจูและเกาชงก็มีเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยล้อมอยู่ห้าหกคน วันนี้สีหน้าของเกาชงดูมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น

แน่นอนว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่เห็นความสำคัญและมองเห็นถึงอนาคตของศิษย์ผู้ฝึกปราณอิสระคนนี้

และมู่หมิงจูกับเกาชงทั้งสองคนนี้ ตั้งแต่ขึ้นลานเวหามาก็ไม่คิดที่จะทักทายสหายร่วมทางตั้งแต่ตอนแรกอย่างหลิ่วหมิงเลย

และหลิ่วหมิงก็ยิ่งไม่คิดจะเริ่มเอ่ยปากชวนใครคุยด้วย เขาแค่นั่งเดี่ยวๆ แล้วกวาดสายตาอันเย็นชามองดูทุกสิ่ง

ลานเวหานี้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำ ทำให้หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ไม่อาจมองเห็นภายนอกได้ แต่หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ เท้าด้านล่างของพวกเขาก็เริ่มสั่น จากนั้นเสียงชายเสื้อดำก็ดังออกมาจากในม่านแสงนั้น

“ถึงลานบรรจบจิตวิญญาณแล้ว ลงไปกันได้แล้ว”

เมื่อเขาพูดจบเมฆดำก็ค่อยๆ กระจายออกไป ในขณะเดียวกันม่านแสงก็มลายหายไป

หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองออกไปยังด้านนอก แล้วอดไม่ได้ที่จะสูดไอเย็นเข้าไปหนึ่งเฮือก

เขามองออกไปเห็นลานกลมๆ อยู่บนยอดเขาลูกใหญ่นี้ แต่ขอบลานด้านนอกเป็นที่นั่งกลมๆ ล้อมรอบเป็นรูปวงแหวนยกสูงขึ้นมา บนนั้นมีคนนั่งเต็มแน่นไปหมด จำนวนคนอย่างมากก็มีประมาณสี่ห้าพันคน และมีเสียงคนพูดคุยกันจอแจดังมาแว่วๆ

ผู้คนเหล่านี้มีแค่ส่วนหนึ่งที่เป็นศิษย์จิตวิญญาณ คนอื่นๆ ก็เป็นศิษย์นิกายสายนอกที่ดูคล้ายกับคอยติดตามรับใช้ศิษย์จิตวิญญาณ

ที่นั่งบนวงแหวนนั้นเห็นได้ชัดว่ามีอยู่ที่หนึ่งที่ดูสูงกว่าที่อื่นๆ บนนั้นมีคนเจ็ดแปดคน ร่างกายของพวกเขามีรัศมีแสงสีต่างๆ ห่อคลุมไว้ทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดเจน

พวกเขากำลังยืนพูดคุยอะไรกันอยู่ที่นั่นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

ขณะนี้ ตรงแท่นที่สูงที่สุดนั้น ร่างของคนผู้หนึ่งที่เปล่งรัศมีแสงสีแดงออกมา อยู่ๆ เขาก็หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา

“ศิษย์น้องทั้งหลาย ได้ยินมาว่าศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณนี้ฝึกฝนมาได้ไม่เลว ในนั้นมีคนที่มีแววอยู่ด้วยกันหลายคน ดูเหมือนว่าศิษย์น้องฉู่กับศิษย์น้องหลินต่างก็แย่งชิงศิษย์ผู้หนึ่งที่มีความโดดเด่น ไม่ทราบว่าจริงเท็จอย่างไร?”

“ท่านประมุข ท่านจะต้องให้ความเป็นธรรมกับศิษย์น้องด้วย ศิษย์ผู้นั้นข้าเป็นคนพบก่อน ศิษย์พี่ฉู่ไม่สนกฎเกณฑ์สุดท้ายก็มาบังคับหลอกหล่อให้ศิษย์ผู้นี้เข้าไปอยู่ในสาขาของเขา” เมื่อหญิงสาวรูปร่างผอมเพรียวที่มีรัศมีแสงสีขาวได้ยินเช่นนี้ ก็กล่าวออกมาด้วยความโกรธเคือง

ชายที่มีรัศมีแสงสีแดงก็คือประมุขนิกายปีศาจนั่นเอง

“ศิษย์น้องหลิน เจ้าพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ บรรดาศิษย์กลุ่มนี้ทั้งหมดมีคนที่มีแววแค่ไม่กี่คน ต่อให้แบ่งให้สาขาละคนก็คงไม่เพียงพอ สาขาระบำปีศาจของพวกเจ้าดันจับจองคนที่มีแววไว้แล้วคนหนึ่ง ถ้างั้นเจ้าเด็กเจียหลานคนนี้ก็ควรเป็นของสาขาหยินทนทรมาณของเรา” ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่มีรัศมีแสงสีเขียวหัวเราะแล้วกล่าวออกมา ดูเหมือนว่าเขาไม่มีความโกรธเลยสักนิด

“หึ! พวกเราสาขาของนิกายปีศาจทั้งแปดสาขา มีแค่สาขาของพวกเราสาขาเดียวที่เหมาะสำหรับฝึกวิชาให้กับหญิงสาว พวกเจ้าแย่งเจียหลานไป ไม่เท่ากับว่าปิดกั้นความสามารถของนางเหรอ ทั้งยังเป็นการปิดกั้นความยิ่งใหญ่ของนิกายอีกด้วย” เมื่อศิษย์น้องหลินได้ยินคำพูดประโยคนี้แล้วก็ตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ และยังถือโอกาสเอานิกายมาอ้างด้วย

“เรื่องนี้ศิษย์น้องหลินไม่ต้องกังวลไป ข้าจะให้ศิษย์น้องปิงรับนางเป็นศิษย์และชี้แนะด้วยตนเอง หึๆ วิชาที่ศิษย์น้องปิงฝึกฝนมาก็เหมาะที่จะฝึกฝนหญิงสาวเช่นกัน” ศิษย์พี่ฉู่หัวเราะหึๆ แล้วกล่าวออกมา

“เจ้า…”

“ช่างมันเถอะ ไม่ต้องเถียงกันแล้ว เรื่องนี้ศิษย์เปิดทะเลจิตวิญญาณให้ได้ซะก่อน แล้วค่อยว่ากัน ต่อให้มีพลังกายที่เก่งกาจ แต่ถ้าไม่สามารถเปิดทะเลจิตวิญญาณได้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร” ประมุขนิกายกลับโบกมือเพื่อหยุดหัวข้อการโต้แย้งนี้

พอได้ยินประมุขนิกายกล่าวแบบนี้แล้ว ศิษย์น้องฉู่และศิษย์น้องหลินก็ไม่กล้าที่จะเถียงต่อไปอีก ได้แต่ตอบรับท่านประมุขแล้วก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก

“อ้อ ใช่สิ ศิษย์น้องกุย สาขาเก้าทารกของพวกเจ้าได้เลือกศิษย์ไว้หรือยัง ถ้าหากลงมือช้าล่ะก็ ก็ต้องกลับสาขามือเปล่าอีกนะ” ประมุขนิกายหันหน้าไปพูดกับชายที่มีรัศมีแสงสีเทาตรงขอบลาน

“ขอบคุณท่านประมุขที่คอยเตือน ศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณที่มีความสามารถเก่งกาจนี้ สาขาของเราไม่อาจแย่งกับสาขาอื่นได้ ครั้งนี้ก็คงเลือกจากบรรดาลูกหลานของตระกูลขุนนางสักสองสามคนก็แล้วกัน” เมื่อชายที่มีรัศมีสีเทาได้ยินดังนั้นก็ค่อยๆ โค้งตัวลงแล้วตอบกลับไป

ฟังเสียงแล้วเขาก็คือคนคนเดียวกันกับบุรุษผู้ที่ปรากฏกายตรงที่ราบเนินเขาเขียวในป่านั้น

“ลูกหลานตระกูลขุนนาง? หรือว่าลูกหลานตระกูลขุนนางเหล่านี้มีคนฉายแววแล้ว ไม่ทราบว่าศิษย์พี่กุยสะดุดตาคนไหนเข้า ให้พวกเราดูหน่อยเถอะ” เมื่อศิษย์น้องฉู่ผู้นั้นได้ยิน ก็อุทาน เอ๊ะ! ออกมา แล้วก็ถามกลับไปด้วยความสนใจ

“ศิษย์พี่เองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ถึงได้ไปเลือกลูกหลานตระกูลขุนนางเหล่านั้น ไหนเลยจะมีคนที่มีแววจริงๆ” ศิษย์พี่กุยกล่าวออกมาตามตรง

“ฮ่าๆ ศิษย์พี่กุยเป็นผู้ที่มี ‘ปีศาจคำนวณ’ พวกเราในนี้ไม่เชื่อศิษย์พี่หรอก ศิษย์พี่กุยสะดุดตากับลูกหลานตระกูลขุนนางคนไหนเข้ากันแน่ หรือว่าพูดออกมาแล้วกลัวพวกข้าจะไปแย่งหรือเปล่า?” ศิษย์น้องหลินหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา