หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในบ้านหิน อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงชายเสื้อดำดังขึ้นมา
“พวกเจ้าทั้งหลายออกมากันให้หมด วันนี้พิธีเปิดจิตวิญญาณจะเริ่มขึ้นแล้ว ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่ลานบรรจบจิตวิญญาณกัน”
ถึงแม้เสียงจะไม่ค่อยดัง แต่กลับดังก้องไปทั่วบ้านหิน ทำให้หลิ่วหมิงได้ยินอย่างชัดเจน
หลิ่วหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เข้าไปหนึ่งเฮือก แล้วรีบลงจากเตียงหินผลักประตูเดินออกไป
เขาเห็นบรรดาเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยที่เดินเบียดเสียดกันอยู่ที่ถนนเส้นเล็กๆ ราวกับผึ้งแตกรังเลยทีเดียว และเมื่อทะลุออกจากป่าไม้นี้แล้ว ก็มองเห็นลานเวหาสีเทาขาวสองลานนอนอยู่บนทุ่งหญ้าอยู่รำไร
ชายเสื้อดำซึ่งก็คือ ‘ศิษย์พี่จาง’ กับ หญิงสาวที่คลุมเสื้อคลุมไร้แขนสีขาวซึ่งก็คือ ‘ศิษย์พี่สวิน’ ทั้งสองคนต่างก็ยืนอยู่บนเมฆคนละก้อน และเมฆแต่ละก้อนนั้นก็ลอยอยู่บนลานเวลาแต่ละลาน
ฟางสงกับศิษย์นิกายสายนอกสิบกว่าคน ยืนอยู่ในแถวนั้นด้วยท่าทีที่นอบน้อมสองมือประสานไว้ที่ด้านหน้า ไม่แสดงพฤติกรรมโหดร้ายน่ากลัวเหมือนกับตอนที่อยู่ต่อหน้าหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ
บรรดาเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยเมื่อเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ ก็ปฏิบัติตามอย่างสุภาพ ทุกคนต่างก็ชะลอฝีเท้าต่อแถวเดินเข้าไปในลานเวหา
จนเมื่อคนสุดท้ายเข้าไปในลานแล้ว ชายเสื้อดำเคลื่อนสายตาลงไปด้านล่าง หลังจากค้นพบว่าไม่ได้มีใครหายไป ก็พยักหน้าแล้วพลิกฝ่ามือเกิดเป็นแสงกลมๆ ออกมา มืออีกข้างก็ทำท่ามือ
แผ่นกลมๆ นั้นเปล่งประกายแสงมหัศจรรย์ออกมา
ครู่เดียวก็มีเสียงดัง “ฟู่!” อักขระจำนวนมากส่องประกายออกมาจากพื้นผิวภายนอกของลาน ในขณะเดียวกันม่านแสงสีขาวก็ปรากฏขึ้นมาหนึ่งชั้น แล้วแผ่คลุมลานเวหาทั้งหมดไว้
และรูปปั้นแกะสลักปีศาจเหล่านั้น ก็เกิดการสั่นไหวอ้าปากพ่นควันสีดำเข้มข้นออกมา
ควันดำพวกนี้ม้วนตัวพวยพุ่งอยู่ด้านล่าง ชั่วครู่เดียวก็กลายเป็นเมฆดำลอยไปแผ่คลุมลานเวหาและม่านแสงไว้
เสียงดัง “หึ่มๆ!” หลังจากนั้นลานเวหาทั้งสองก็บินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ค่อยๆ บินไปทางยอดเขาสูงใหญ่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกล
หลิ่วหมิงยืนอยู่ใกล้รูปปั้นแกะสลักตัวหนึ่ง เขาจ้องมองไปที่แสงแห่งประกายจิตวิญญาณระยิบระยับเหล่านั้น ดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
และห่างจากเขาไปไม่ไกล คือมู่หมิงจูและเกาชงกำลังพูดคุยกันอย่างแผ่วเบา
เพียงแค่สิบกว่าวันที่ไม่ได้เจอกัน ทั้งสองคนดูสนิทสนมกันมากขึ้นกว่าเดิม
และกลางลานเวหานั้น เหลยเจิ้นยืนตระหง่านอยู่ที่นั่นอย่างองอาจ บริเวณนั้นมีลูกหลานขุนนางห้อมล้อมกันอยู่สามสิบกว่าคน
บริเวณอื่นๆ ก็มีคนประมาณเจ็ดแปดคนหรือสิบกว่าคนรวมตัวอยู่กันเป็นกลุ่มๆ โดยแต่ละกลุ่มจะยืนห้อมล้อมคนๆ หนึ่งไว้
หลายวันมานี้บรรดาเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยเหล่านี้ ได้มาอยู่รวมกัน ต่างก็จับตัวกันเป็นกลุ่มๆ
ดูแล้วผู้ที่มีโอกาสผ่านพิธีเปิดจิตวิญญาณนี้มีจำนวนไม่มาก เลยตั้งความหวังให้กับคนที่มีโอกาสกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณไว้ เผื่อต่อไปถ้าพวกเขากลายเป็นศิษย์นิกายสายนอกจะได้มีที่พึ่งในภายภาคหน้า
ที่ลูกหลานตระกูลขุนนางเหล่านี้ทำแบบนี้ อาจเป็นเพราะว่าก่อนมาผู้อาวุโสในตระกูลคงได้กำชับไว้แล้ว และแม้กระทั่งเป้าหมายก็คงโดนกำหนดให้ตั้งแต่แรกแล้วเช่นกัน
มิเช่นนั้นคงไม่จับกลุ่มกันรวดเร็วขนาดนี้
ข้างกายของมู่หมิงจูและเกาชงก็มีเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยล้อมอยู่ห้าหกคน วันนี้สีหน้าของเกาชงดูมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น
แน่นอนว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่เห็นความสำคัญและมองเห็นถึงอนาคตของศิษย์ผู้ฝึกปราณอิสระคนนี้
และมู่หมิงจูกับเกาชงทั้งสองคนนี้ ตั้งแต่ขึ้นลานเวหามาก็ไม่คิดที่จะทักทายสหายร่วมทางตั้งแต่ตอนแรกอย่างหลิ่วหมิงเลย
และหลิ่วหมิงก็ยิ่งไม่คิดจะเริ่มเอ่ยปากชวนใครคุยด้วย เขาแค่นั่งเดี่ยวๆ แล้วกวาดสายตาอันเย็นชามองดูทุกสิ่ง
ลานเวหานี้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำ ทำให้หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ไม่อาจมองเห็นภายนอกได้ แต่หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ เท้าด้านล่างของพวกเขาก็เริ่มสั่น จากนั้นเสียงชายเสื้อดำก็ดังออกมาจากในม่านแสงนั้น
“ถึงลานบรรจบจิตวิญญาณแล้ว ลงไปกันได้แล้ว”
เมื่อเขาพูดจบเมฆดำก็ค่อยๆ กระจายออกไป ในขณะเดียวกันม่านแสงก็มลายหายไป
หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองออกไปยังด้านนอก แล้วอดไม่ได้ที่จะสูดไอเย็นเข้าไปหนึ่งเฮือก
เขามองออกไปเห็นลานกลมๆ อยู่บนยอดเขาลูกใหญ่นี้ แต่ขอบลานด้านนอกเป็นที่นั่งกลมๆ ล้อมรอบเป็นรูปวงแหวนยกสูงขึ้นมา บนนั้นมีคนนั่งเต็มแน่นไปหมด จำนวนคนอย่างมากก็มีประมาณสี่ห้าพันคน และมีเสียงคนพูดคุยกันจอแจดังมาแว่วๆ
ผู้คนเหล่านี้มีแค่ส่วนหนึ่งที่เป็นศิษย์จิตวิญญาณ คนอื่นๆ ก็เป็นศิษย์นิกายสายนอกที่ดูคล้ายกับคอยติดตามรับใช้ศิษย์จิตวิญญาณ
ที่นั่งบนวงแหวนนั้นเห็นได้ชัดว่ามีอยู่ที่หนึ่งที่ดูสูงกว่าที่อื่นๆ บนนั้นมีคนเจ็ดแปดคน ร่างกายของพวกเขามีรัศมีแสงสีต่างๆ ห่อคลุมไว้ทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดเจน
พวกเขากำลังยืนพูดคุยอะไรกันอยู่ที่นั่นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา