ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 14

“ในเมื่อศิษย์น้องหลินกล่าวมาเช่นนี้ ข้าก็จะพูดออกมาอย่างไม่ปิดบัง ข้าเชื่อว่าศิษย์น้องทั้งหลายต่างก็ชอบคนที่มีพรสวรรค์ และก็คงไม่มาแย่งลูกหลานตระกูลขุนนางกับสาขาเก้าทารกของเราหรอก มิเช่นนั้นก็เท่ากับว่าหน้าไม่อายเป็นอย่างยิ่ง” นักปราชญ์ลังเลเล็กน้อย แล้วก็กล่าวประชดออกมา

เมื่อคำพูดประโยคเหล่านี้หลุดออกมา ทำให้ศิษย์น้องฉู่และคนอื่นๆ อดไม่ได้ที่รู้สึกละอายแก่ใจตัวเอง

ถึงแม้สาขาเก้าทารกจะตกต่ำไปนาน แต่เมื่อฝ่ายตรงข้ามพูดออกมาตรงๆ อย่างนี้ ย่อมทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนมีคนมาตบหน้าตัวเอง

“ศิษย์น้องกุยวางใจเถอะ เจ้ารีบพูดเด็กที่เจ้าสะดุดตามา ถ้าหากพวกเขามีใครมาแย่งกับเจ้าจริงๆ ล่ะก็ ข้าย่อมให้ความเป็นธรรมกับเจ้าแน่ ในครั้งนี้ไม่ว่าลูกหลานตระกูลขุนนางเหล่านี้จะมีความสามารถพิเศษอะไร ข้าจะให้เจ้าเลือกก่อนเป็นอันดับแรก” ประมุขนิกายก็เหมือนจะรู้สึกละอายต่อสาขาเก้าทารก เลยกล่าวกลับไปด้วยความเข้าใจ

“ขอบคุณท่านประมุข” เมื่อนักปราชญ์ได้ยินดังนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง รีบยกมือคารวะขอบคุณท่านประมุข

เมื่อคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ต่างก็แอบชำเลืองตามองกันเล็กน้อย

“แท้ที่จริงแล้วลูกหลานตระกูลขุนนางเหล่านี้มีไม่กี่คนที่มีแววจริงๆ ข้าน้อยเองก็เลือกแค่คนที่พอมีศักยภาพไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนเรื่องที่จะผ่านพิธีเปิดจิตวิญญาณนี้ได้หรือไม่นั้น ก็ต้องรอดูกันต่อไปอีกทีหนึ่ง แต่แน่นอนว่าข้าไม่อาจจะแย่งศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณกับศิษย์น้องหลินได้ ในบรรดาศิษย์ผู้ฝึกปราณอิสระทั้งสามคนนั้น ข้ากับศิษย์น้องจูก็ได้สัมผัสมาบ้าง จากการคาดการณ์ขั้นต้นคนที่ชื่อเกาชงนั้น คงจะมีโอกาสสูงที่จะมีเก้าชีพจรจิตวิญญาณ อีกผู้หนึ่งชื่ออวี๋เฉิง เขาเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในเรื่องของจักษุจิตวิญญาณ สามารถฝึกวิชาพิราบปีศาจของสาขาเราได้ ข้าคาดหวังว่าจะให้วิชาจักษุพิราบได้กลับมาผงาดอีกครั้ง ศิษย์ของผู้ฝึกปราณอิสระคนสุดท้ายนั้นฝีมือค่อนข้างธรรมดา แต่ว่าตอนเด็กได้กลืนกินหญ้าโอสถพิษย่อยจิตวิญญาณเข้าไป พลังภายในของเขาจะมีคุณสมบัติเป็นพิษย่อยสลาย ถ้าหากสามารถผ่านพิธีเปิดจิตวิญญาณไปได้ อาจมีเรื่องที่น่าตื่นเต้นเกิดขึ้นก็ได้ สำหรับบรรดาลูกหลานตระกูลขุนนางคนอื่นๆ ข้าก็พอสัมผัสมาได้สองสามคน แต่ที่เหมาะสมกลับมีแค่เหลยเจิ้นที่มาจากตระกูเหลยเท่านั้น เหลยเจิ้นคนนี้ก็มีโอกาสที่จะมีเก้าชีพจรจิตวิญญาณ เชื่อว่าคงได้รับพลังจากสายโลหิตที่พิเศษของตระกูลเหลยมาไม่น้อย”

นักปราชญ์ค่อยๆ กล่าวการคาดการณ์ของตัวเองออกมา ศิษย์น้องฉู่และคนอื่นๆ ได้ฟังแล้วก็รู้สึกอยากได้ขึ้นมา แต่เพราะคำพูดของประมุขนิกายที่ได้พูดไว้ก่อนหน้านั้น ทำไม่ให้พวกเขาไม่กล้ากล่าวอะไรออกมา

“ศิษย์พี่กุย เจ้าเด็กเหลยเจิ้นคนนี้เป็นหลานแท้ๆ ของข้า เกรงว่าไม่อาจจะมอบให้สาขาเก้าทารกของท่านได้ ศิษย์น้องกะจะดูแลและสอนเขาด้วยตัวเอง” เงาร่างของคนที่ไม่ได้พูดอะไรมาตั้งแต่ต้นกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม

“ข้าเองก็เดาว่าเจ้าจะต้องพูดแบบนี้ ดังนั้นข้าก็แค่สังเกตดูเท่านั้น ไม่ได้ลงไปสัมผัสใกล้ชิด” นักปราชญ์กล่าวอย่างไม่รู้สึกแปลกใจเลย ทั้งยังถอนหายใจอย่างเสียดาย

“ขอบคุณศิษย์พี่กุยที่เข้าใจ” ศิษย์น้องเหลยกล่าวขึ้น น้ำเสียงแฝงการขอโทษเป็นนัยๆ

“พูดแบบนี้ก็แสดงว่าศิษย์พี่กุยคิดที่จะเลือกศิษย์ผู้ฝึกปราณทั้งสามคนนี้แล้ว?” ศิษย์น้องฉู่กล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้

“ถูกต้องแล้ว ทำไม? หรือศิษย์น้องอยากจะเปลี่ยนความคิดเดิม แล้วนำศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณที่เจ้าได้เลือกไว้มาแลกเปลี่ยนกับคนที่สาขาของข้าได้เลือกไว้” นักปราชญ์กล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ

“ฮ่าๆ ในเมื่อศิษย์พี่เป็นคนพบและถูกใจก่อน ศิษย์น้องก็ไม่อาจแย่งมาได้” ศิษย์น้องฉู่หาวออกมาแล้วก็รีบกล่าวตอบรับกลับไป

ถึงแม้เกาชงและศิษย์ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ จะไม่เลว แต่เมื่อเทียบกับลูกศิษย์ที่พวกเขาได้ถูกใจไว้ก่อนแล้ว ความสามารถยังห่างกันชั้นหนึ่ง จะยอมแลกได้อย่างไร

“ตกลง ขอแค่ศิษย์ผู้ฝึกปราณอิสระทั้งสามคนนี้ผ่านพิธีเปิดจิตวิญญาณ ก็จะมอบให้กับสาขาเก้าทารก ข้าเองก็คาดหวังว่าสาขาเก้าทารกจะกลับมาสง่าผ่าเผยอีกครั้ง” เมื่อประมุขนิกายเห็นเช่นนี้ก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ตรึงเครียด

เมื่อคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ พยักหน้าเห็นชอบด้วย บางคนกลับรู้สึกเฉยๆ ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ

ประมุขนิกายขมวดคิ้วเมื่อเห็นเช่นนั้น ยังอยากที่จะกล่าวอะไรต่อ แต่ศิษย์จิตวิญญาณผู้หนึ่งได้ขี่เมฆลอยมาจากลานกว้าง โค้งตัวลงแล้วกล่าวขึ้นจากที่ไกลๆ

“เรียนท่านประมุข ค่ายกลบรรจบจิตวิญญาณได้จัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว สามารถเริ่มพิธีได้ ”

“ในเมื่อจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว งั้นก็เริ่มพิธีกันเถอะ” เมื่อประมุขนิกายเห็นดังนั้นก็กล่าวอย่างไม่ลังเล

“รับทราบ” ลูกศิษย์ผู้นี้โน้มตัวลงน้อมรับคำสั่ง พร้อมกับหมุนตัวลอยกลับไปทางเดิม

ในขณะเดียวกัน หลิ่งหมิงโดนเบียดเสียดอยู่ในกลุ่มลูกหลานตระกูลขุนนางเหล่านั้น มองไปยังดรุณีน้อยที่เป็นศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณของนิกายปีศาจนางนั้น และพินิจดูนางอยู่ตลอดเวลา

แท้ที่จริงแล้วไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่มองดู สายตาหลายคู่ต่างก็มองไปยังดรุณีน้อยนางนั้นนานแล้ว

แม้กระทั่งในหมู่ศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณด้วยกันเอง ต่างก็แอบชำเลืองมองนางเช่นกัน

รูปร่างหน้าตาของดรุณีน้อยนางนี้สร้างความตกตะลึงให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก

อายุนางดูเหมือนจะไม่เกินสิบสามสิบสี่ปี แต่กลับมีใบหน้ารูปไข่สวยงามราวกับหยกสลัก คิ้วเรียวงอน ริมฝีปากได้รูป ผิวขาวราวหิมะ ผมตรงดำขลับยาวเลยบ่า ดวงตากลมโตเปล่งประกายมีเสน่ห์ดึงดูดต่อผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก ทุกย่างก้าวการเคลื่อนไหวของนางทำให้ผู้พบเห็นใจเต้นรัวอย่างน่าอัศจรรย์

นางดูเหมือนจะคุ้นเคยกับการที่ถูกจ้องมองอย่างนี้ ไม่ว่าสายตาผู้คนที่มองตายังตัวนางจะมีเยอะแค่ไหนนางก็ยังมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า ดูเหมือนนางจะไม่ถือสาหาความใดๆ เลย

หลิ่วหมิงจ้องมองนางสักครู่แล้วก็กัดลิ้นเพื่อบังคับให้ตัวเองละสายตาจากใบหน้าของนางผู้นั้น ในขณะเดียวก็แอบพูดขึ้นมาหนึ่งคำ “ร้ายกาจจริงๆ”

หรือว่านี่จะเป็นนางฟ้าจำแลงกายมา ดรุณีนางนี้อายุแค่นี้แต่กลับทำให้คนมองจนยากจะถอนสายตาไปจากนางได้ ถ้าหากว่าโตขึ้นกว่านี้อีกสองสามปีล่ะก็ จะไม่เป็นนางล่มบ้านล่มเมืองหรอกหรือ

แต่ที่ทำให้เขารู้สึกแอบประหลาดใจก็คือ ฝ่ายตรงข้ามคงจะอยู่ในขบวนแถวตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมก่อนหน้านั้นถึงไม่มีใครเห็นนาง ผ่านไปแค่ครู่เดียว อยู่ๆ ก็มีดรุณีน้อยที่สวยหยาดเยิ้มเช่นนี้ปรากฎกายออกมา

ที่ยิ่งทำให้เขารู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาคือ ไม่เพียงแต่เด็กหนุ่มเท่านั้นที่แอบมองหญิงนางนี้ แม้กระทั่งสายตาของดรุณีน้อยบางส่วนก็แอบมองด้วยสายตาที่ชื่นชม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา