ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 15

สรุปบท ตอนที่ 15 เปิดจิตวิญญาณ (1): ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอน ตอนที่ 15 เปิดจิตวิญญาณ (1) จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 15 เปิดจิตวิญญาณ (1) คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

“ร่างละเมอฝันเมื่อรับมือกับคู่ต่อสู้ที่ฝึกฝนมาพอๆ กัน กลับไม่มีอานุภาพได้ดังใจนึก ดูจากจุดนี้แล้วขอแค่เด็กนี่สามารถเปิดทะเลจิตวิญญาณได้สำเร็จ ต่อให้การฝึกฝนจะช้า ต่อให้จะต้องใช้โอสถจิตวิญญาณกระตุ้น นิกายเราก็จะฝึกเขาให้สู่ระดับที่สูงขึ้นให้ได้” ประมุขนิกายกล่าวมาอย่างแน่วแน่

“ใช่แล้ว เจ้าเด็กนี่สำคัญสำหรับนิกายเรามาก ไม่แน่นางอาจเป็นที่พึ่งหลักของนิกายเราได้ แต่ทว่าในบรรดาลูกหลานตระกูลขุนนางเหล่านี้ นอกจากเหลยเจิ้นที่พอจะมีฝีมือสักหน่อยแล้ว คนอื่นๆ ยังคงเหมือนปีที่ผ่านมาไม่มีใครเข้าตาเลยสักคน ถึงแม้จะมีสองสามคนที่แอบคมในฝักกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณได้ เกรงว่าอย่างมากก็กลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นต่ำที่มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณเท่านั้น ชาตินี้ไม่มีโอกาสพัฒนากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญจิตวิญญาณได้ ถ้าหากว่าศิษย์ผู้ฝึกปราณอิสระทั้งสามคนไม่สามารถเปิดทะเลจิตวิญญาณได้ ลูกหลานตระกูลขุนนางคนอื่นๆ ก็คงหาคนที่มีศักยภาพได้ยาก” ศิษย์น้องหลินพยักหน้าก่อนที่จะเปลี่ยนหัวข้อเรื่องสนทนากัน

“ดูจากพิธีครั้งก่อนที่ผ่านๆ มา ศิษย์ผู้ฝึกปราณอิสระมีโอกาสในการกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณอย่างน้อยหนึ่งในสามส่วน ศิษย์น้องกุยคงไม่โชคร้ายขนาดนี้ ไม่แน่ศิษย์ผู้ฝึกอิสระทั้งสามคนนี้อาจจะกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณทั้งหมด สำหรับลูกหลานตระกูลขุนนางที่เจ้าบอกว่าไม่มีอนาคตนั้น ข้ากลับไม่เห็นด้วย” ประมุขนิกายคิดลังเลครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้ากล่าวออกมา

“อะไรนะ หรือว่าศิษย์น้องมองข้ามใครไป ลูกหลานตระกูลขุนนางเหล่านั้นยังมีคนที่มีความสามารถเก่งกาจอยู่หรือ ไม่จริง ถึงแม้ข้าจะดูไม่ออกศิษย์พี่กุยก็ไม่น่าจะพลาด” ศิษย์น้องหลินกล่าวด้วยความตกตะลึง

“คนอื่นข้าไม่รู้ แต่เจ้าเด็กนี้น่าสนใจน่าดู” ประมุขนิกายค่อยๆ ยิ้มออกมา ทันใดนั้นเขาชี้นิ้วไปกลางอากาศ แล้ววาดวงกลมออกมา วงกลมนั้นเปล่งแสงสีเขียวอ่อนๆ เปลี่ยนเป็นกระจกแสงที่ใสราวกับน้ำ ในนั้นปรากฏภาพใบหน้าของเด็กหนุ่มสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้าย

เด็กหนุ่มกำลังเงยหน้ามองไปยังผู้เชี่ยวชาญจิตวิญญาณเหล่านั้นอยู่พอดี สายตาเขาเปล่งประกายไม่หยุด เด็กหนุ่มผู้นั้นก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง

“เจ้าเด็กนี่หรือ? ดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรโดดเด่นเลย หรือว่าเขาจะมีร่างจิตวิญญาณที่แอบแฝงอยู่” ศิษย์น้องหลินจ้องมองหลิ่งหมิงที่อยู่ในกระจกแสงนั้น แล้วค่อยๆ กล่าวออกมา

“เขาจะเป็นผู้ที่มีร่างจิตวิญญาณแฝงอยู่หรือไม่นั้นข้าไม่รู้ แต่พลังจิตของเจ้าเด็กนี่แกร่งกว่าคนธรรมดามาก” ประมุขนิกายพูดอย่างไม่รีบร้อน

“โอ้ ท่านประมุขรู้ได้อย่างไร?” ศิษย์น้องหลินรู้สึกประหลาดใจ

“ง่ายมาก เมื่อครู่ตอนร่างละเมอฝันของเจียหลานปรากฏออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ มีแค่เจ้าเด็กนี่ที่ไม่ได้รับผลกระทบอันใดเลย และยังสามารถควบคุมตนเองไม่ให้มองเจียหลานได้ ลำพังแค่พลังที่สามารถควบคุมตนเองได้ก็น่าชื่นชมมากแล้ว ” ประมุขนิกายกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง พูดแบบนี้แสดงว่าเจ้าเด็กนี้คุ้มค่าที่จะให้เรารอดูสักหน่อยแล้ว” ศิษย์น้องหลินนึกได้อย่างฉับพลัน

……

หลิ่วหมิงไม่รู้ตัวว่าเป็นเพราะเรื่องของปีศาจหญิงนางนั้น ทำให้เขาตกอยู่ในสายตาของอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสองท่าน

ตอนนี้เขากำลังหมกมุ่นอยู่กับพลังที่ถูกปล่อยมาจากค่ายกลตรงลานกว้าง สภาพแวดล้อมรอบข้างดูผิดปกติแตกต่างไปจากเดิม

เขาโคจรเคล็ดวิชาไร้นามวิชาหนึ่ง พลังภายในได้รับการกระตุ้นจนสามารถโคจรได้เร็วกว่าเมื่อก่อนเกือบครึ่ง เขายกแขนขึ้นอีกครั้ง ทำให้เขารู้สึกถึงการรวมตัวของพลังภายในที่เดี๋ยวมีเดี๋ยวหาย ถึงแม้ว่ามันเบาบางจนมองไม่ออกก็ตาม แต่มันก็ยังคงมีอยู่

หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจ มองไปยังค่ายกลสีเงินด้วยสีหน้าเฝ้ารอคอย

อยู่นอกค่ายกลยังรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงน่าประหลาดใจเช่นนี้ ถ้าหากเข้าไปข้างในแล้วเชื่อว่าคงจะต้องทำให้คนประหลาดใจมากขึ้นกว่าเดิม

“ได้เวลาแล้ว หยดน้ำจิตวิญญาณ” อาจารย์จิตวิญญาณแซ่เหลยสั่ง

เพิ่งกล่าวจบ ศิษย์จิตวิญญาณกว่าสิบคนก็ขี่เมฆลอยเข้ามา

ศิษย์จิตวิญญาณเหล่านี้ ล้วนสวมใส่เสื้อคลุมยาวสีดำเหมือนกัน ในมือแต่ละคนประคองขวดสีเขียวอ่อนคนละใบ ครู่เดียวก็มาถึงขอบค่ายกล ในขณะเดียวกันก็เปิดฝาขวด จากนั้นมือที่เปล่งประกายแสงเคาะไปที่ก้นขวด

เสียงดัง “ป๊อก” “ป๊อก”

น้ำจิตวิญญาณสีขาวน้ำนมพ่นออกมาจากปากขวด กลายเป็นเส้นสีขาวๆ กว่าสิบเส้นพุ่งไปยังด้านบนอากาศเหนือค่ายกลนั้น

“ศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณของนิกายเรา รีบเข้าไปในค่ายกลเดี๋ยวนี้” ศิษย์น้องเหลยที่อยู่กลางอากาศกล่าวออกมา

เมื่อศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณของนิกายได้ยินแล้ว คนที่อยู่แถวหน้าก็รีบวิ่งเข้าไปในค่ายกลอย่างรวดเร็ว และอาจารย์จิตวิญญาณทั้งหลายต่างก็เลือกที่นั่งตรงหน้าแล้วนั่งลงไป

“พอแล้ว”

เมื่อจำนวนคนที่เข้าไปครบร้อยคนแล้ว อาจารย์จิตวิญญาณท่านหนึ่งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม พร้อมกับสะบัดแขนเสื้อไปทางด้านล่าง

ศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณคนที่อยากเข้าต่อ รู้สึกได้ถึงกำแพงที่มองไม่เห็นผลักพวกเขาพุ่งออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า

ศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณเหล่านี้ต่างก็รู้สึกหวาดกลัว รีบหยุดชะงักหยุดอยู่ด้านนอกไม่กล้าเข้าไป

หลิ่วหมิงและบรรดาลูกหลานตระกูลที่ขุนนางที่ยังไม่ได้รับคำสั่ง ต่างก็ทำได้แค่จ้องมองตากัน ไม่กล้าขยับแม้แต่ก้าวเดียว

พวกเขากลับไม่ได้มีสีหน้าแค้นเคือง พิธีเปิดจิตวิญญาณนี้เดิมทีก็เป็นพิธีสำคัญสำหรับศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณของนิกายอยู่แล้ว พวกเขาถูกทิ้งไว้ท้ายสุดก็เห็นไม่มีอะไรน่าบ่นออกมา

บางคนก็คิดที่จะใช้โอกาสนี้เพื่อดูว่าศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณของนิกายจะเปิดทะเลจิตวิญญาณได้อย่างไร

ถึงแม้พวกเขาจะเคยได้ยินผู้อาวุโสในตระกูลพูดให้ฟังไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้วก็ตาม แต่การที่ได้เห็นด้วยตาตนเองย่อมไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าหลังจากดูแล้วพวกเขาอาจได้เก็บเกี่ยวอะไรที่เป็นประโยชน์ ทำใหัเขาพวกเขามีโอกาสในการเปิดทะเลจิตวิญญาณได้มากขึ้น

ในขณะเดียวกันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ต่างก็เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ โดยรอบ

ศิษย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ก็เหมือนกัน ต่างก็ใช้พลังภายในรีดของเหลวสีเงินแต่ละหยดออกมา จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นลูกกลมๆ สีขาวขนาดใหญ่ตกลงไปยังศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณด้านล่าง

ศิษย์ที่มีชีพจรจิตวิญญาณส่วนใหญ่เหมือนกับเด็กหนุ่มคนแรกนั้น ต่างก็ถูกกดลงพื้นโดยไม่สามารถขยับตัวได้ มีแค่ไม่กี่คนที่ร่างกายแข็งแกร่งจนสามารถนั่งทนกับแรงกดดันนี้ได้ และนั่งมองแสงกลมๆ ค่อยๆ จมหายเข้าไปในร่างกาย

อาจารย์จิตวิญญาณหลายคนเห็นแบบนี้แล้ว ต่างก็แอบพยักหน้า จดจำใบหน้าและตำแหน่งที่นั่งของลูกศิษย์เหล่านี้ โดยไม่อาจทราบถึงจุดประสงค์ของพวกเขาเหล่านี้ได้

ศิษย์จิตวิญาณเหล่านี้ต่างก็ดำเนินการหยดของเหลวสีเงินได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงชั่วครู่ก็หยดของเหลวสีขาวเงินได้ร้อยกว่าหยด ทำให้ศิษย์ที่มีชีพจรจิตวิญญาณที่อยู่ในค่ายกลแต่ละคนต่างก็ถูกแสงๆ กลมๆ สีขาวพันรอบแล้ว

บัดนี้ ผู้เชี่ยวชาญจิตวิญญาณเหลยลูบแขนเสื้อหยิบป้ายอาญาสิทธิ์ที่เปล่งแสงสีเขียว แล้วแกว่งแสงไปยังด้านล่าง

เสียงพึมพัมดังขึ้น!

ลำแสงสีเขียวขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือออกจากด้านหน้าของป้ายอาญาสิทธิ์ แล้วพุ่งลงไปยังด้านล่าง เปล่งประกายวูบหนึ่งแล้วทะลุผ่านไปยังผลึกใสก้อนหนึ่งที่อยู่ตรงกลางค่ายกลนั้น

เสียงดัง “ตู้ม!”

หลังจากผลึกใสนี้เปล่งประกายวูบหนึ่งแล้ว รอบๆ ค่ายกลก็เปล่งประกายแสงสีขาวออกมา ทั้งยังมีเสาแสงสีขาวน้ำนมหลายเส้นพุ่งขึ้นไปบนฟ้า

แสงกลมๆ สีขาวที่เหลืออยู่ในอากาศดูเลือนไปพักหนึ่งแล้วก็กลายเป็นฝนจิตวิญญาณที่มีแสงสลัวๆ ตกลงมา

ถึงแม้หลิ่วหมิงจะอยู่นอกค่ายกลนี้ แต่ยังคงสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบๆ บริเวณนี้ได้ ตาทั้งสองข้างค่อยๆ หรี่ลงมาอย่างอดไม่ได้

เวลานี้อาจารย์เหลยกลับกล่าวออกมาขณะที่ยังลอยอยู่บนอากาศ

“พวกเจ้าทั้งหลายให้อาศัยอานุภาพของค่ายกลรวบรวมจิตวิญญาณ แล้วใช้พลังของฟ้าดินในค่ายกลนี้ปรับจนถึงระดับที่เข้มข้น ในขณะเดียวกันข้าก็ส่งพลังภายในของข้าเข้าไปในร่างกายของพวกเจ้าทำให้พวกเจ้ามีโอกาสในการเปิดทะเลจิตวิญญาณมากขึ้น สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำตอนนี้คือใช้พลังภายนอกช่วยเสริมในการกระตุ้นพลังภายใน รวบรวมพลังภายในไปที่จุดตันเถียนเพื่อสร้างทะเลจิตวิญญาณของตัวเอง ในช่วงนี้พวกเจ้าจะรู้สึกเจ็บปวดราวกับโดนแทงด้วยมีดนับหมื่นนับพันเล่ม แต่ว่าจะเป็นหรือตาย เป็นเซียนหรือมนุษย์ ก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะร่ายคาถาเพื่อชี้ทางให้พวกเจ้าผ่านขั้นตอนพิธีการเปิดจิตวิญญาณ”

เมื่ออาจารย์จิตวิญญาณเหลยกล่าวจบ ก็หันไปมองทักทายอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ด้วยใบหน้าที่แสดงความเคารพ จากนั้นก็หยิบคัมภีร์สีทองอร่ามจากแขนเสื้อตัวเองแล้วโยนออกไปด้านหน้า

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา