ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 16

สรุปบท ตอนที่ 16 เปิดจิตวิญญาณ (2): ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 16 เปิดจิตวิญญาณ (2) – ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บท ตอนที่ 16 เปิดจิตวิญญาณ (2) ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

หลังจากคัมภีร์สีทองถูกลมพัดสั่นไหว ก็ทอประกายแสงสีทองขึ้นกลางอากาศ

อาจารย์จิตวิญญาณเหลยใช้มือข้างหนึ่งทำท่ามือ รัศมีแสงที่โอบล้อมกายเขาอยู่ก็หายไป ใบหน้าแท้จริงของเขาก็เผยออกมา

ปรากฏชายรูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ที่นั่น ใบหน้าเต็มไปด้วยหมวดที่โค้งงอ สวมเสื้อผ้าสีม่วง หน้าอกกว้าง ไหล่ผึ่งผาย เอวกลม ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกได้ถึงบุคลิกอันน่าเกรงขาม

อาจารย์จิตวิญญาณเหลยจ้องมองอักขระที่ปรากฏในม่านแสงนั้น เขาเปลี่ยนท่ามือแล้วเริ่มร่ายคาถาอะไรบางอย่างออกมา

หลิ่วหมิงกลับรู้สึกประหลาดใจเมื่อค้นพบว่าตัวเองไม่ได้ยินเสียงร่ายคาถานั้น เขามองไปยังคนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ๆ

พบว่าพวกเขาต่างก็ทำสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน

เห็นได้ชัดไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่ไม่ได้ยิน

แต่พอสายตาเขามองไปในค่ายกลนั้น กลับค้นพบว่าหลังจากที่อาจารย์จิตวิญญาณเหลยร่ายคาถาออกมาแล้วศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณเหล่านี้แสดงสีหน้าเจ็บปวดเป็นอย่างมาก บางคนอยู่ๆ ใบหน้าก็บิดเบี้ยวขึ้นมา ในขณะเดียวกันกลุ่มแสงสีขาวที่พันตัวพวกเขาอยู่ๆ ก็เปล่งประกายกะพริบแสงไม่หยุด

ฝีมือของอาจารย์จิตวิญญาณนี้ช่างลึกลับมหัศจรรย์อย่างหาที่เปรียบมิได้ คาถาที่ร่ายออกมานี้มีผลลัพธ์มุ่งไปยังแค่ในค่ายกลเท่านั้น คนที่อยู่นอกค่ายกลไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย

หลิ่วหมิงจับตามอง รอคอยผลของคาถาอย่างใจจดใจจ่อ

เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว ผู้ฝึกพลังปราณถึงแม้จะสามารถใช้อาวุธอาญาสิทธิ์ในการแสดงพลังออกมา แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เห็นนี้ได้เลย

เสียงดัง “โพละ โพละ” เด็กหนุ่มสองคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในค่ายกลนั้น หลังจากที่ใบหน้าเขาดูเกร็งไปสักครู่ ทันใดนั้นศีรษะของพวกเขาก็ระเบิดกระจายออกมา ร่างที่ไร้ศีรษะโอนเอนสักครู่แล้วล้มลงไปบนพื้น

ได้เห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้ ลูกหลานตระกูลขุนนางที่ขี้ขลาดบางคนถึงกับอ้าปากค้างพูดไม่ออก คนอื่นๆ ก็สีหน้าซีดเผือดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณของนิกายปีศาจที่ยังไม่ได้เข้าไป ต่างก็แสดงสีหน้ากระวนกระวายใจอย่างอดไม่ได้เช่นกัน

แต่อาจารย์จิตวิญญาณที่อยู่กลางอากาศ และศิษย์จิตวิญญาณที่อยู่นอกค่ายกลทำราวกับไม่ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้

ตอนที่สายตาหลิ่วหมิงกวาดมองผ่านไปยังร่างไร้ศีรษะนั้น ศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณคนที่สามก็ลุกขึ้นยืน มือทั้งสองของเขาไขว่คว้าสะเปะสะปะสักครู่ แล้วศีรษะของเขาก็ระเบิดแตกกระจุยออกมาเช่นกัน

“ฮึ! ใช้ไม่ได้จริงๆ แค่เพิ่งเริ่มต้นก็ไม่สามารถต้านทานพลังนี้ได้ ครั้งต่อไปถ้านิกายเขาจะเลือกคนที่มีชีพจรจิตวิญญาณมาฝึกคงต้องเข้มงวดกว่านี้แล้ว” ประมุขนิกายที่อยู่บนแท่นสูงรู้สึกไม่ชอบใจ จึงอุทานหึ! แล้วกล่าวออกมา

“ท่านประมุข ก่อนที่จะเข้าร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณ พวกเราก็ได้แค่คาดเดาความสามารถของศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณเหล่านี้ เรื่องผิดพลาดที่เกิดขึ้นนี้จึงยากหลีกเลี่ยงได้ ศิษย์ที่เสียชีวิตไปเมื่อสักครู่ เดิมทีเป็นศิษย์ที่ข้าค่อนข้างให้ความสำคัญมาก ตอนฝึกเขายังสามารถทำออกมาได้ดีทีเดียว” ศิษย์น้องหลินกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มฝืนๆ

“ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม นิกายของเราก็ใช้ทรัพยากรไปกับศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณแต่ละคนไปจำนวนมาก เลือกศิษย์ที่มาฝึกครั้งหน้าให้เข้มงวดขึ้นอีกสักหน่อย ข้อผิดพลาดย่อมไม่เกิดขึ้น” ประมุขนิกายกล่าวอย่างนิ่งเฉย

“รับทราบ เลือกศิษย์มาฝึกครั้งหน้าศิษย์น้องและศิษย์พี่คนอื่นๆ จะปรึกษาหารือกันให้มากกว่านี้ แล้วเลือกศิษย์ที่โดดเด่นกว่านี้” ศิษย์น้องหลินกล่าวออกมา

เมื่อประมุขนิกายได้ยินเช่นนี้ ค่อยมีสีหน้าผ่อนคลายแล้วพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็มองดูศิษย์คนอื่นๆ ต่อไป

หลังจากศิษย์สามคนเสียชีวิตแล้วในค่ายกลก็ยังไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก แต่เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไปกลุ่มแสงสีขาวโพลนราวกับใยฝ้ายที่พันอยู่รอบคนจำนวนหนึ่ง ก็เริ่มเกาะกลุ่มลอยขึ้นมาแล้วเจาะลงไปที่ผิวหนังของศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณทั้งหลาย

สีหน้าของศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณเหล่านี้ดูเกร็งไปในทันที มีจำนวนไม่น้อยที่ร่างกายสั่นสะท้านและชักกระตุก ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำขึ้นมา และยังมีอาการคลุ้มคลั่งออกมาด้วย

หลังจากมีเสียงดังเบาๆ ลอยออกมา ก็มีศพสี่ห้าศพล้มลงไปในกองเลือดของตัวเอง

เมื่อหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ หางตาก็กระตุกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ตอนนี้ค่ายกลจิตวิญญาณค่อยๆ หยุดลง กลุ่มแสงสีขาวที่พันอยู่บนตัวศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณก็บีบตัวเล็กลงไปมาก แม้กระทั่งมือเท้าทั้งสี่ก็โผล่ออกมา

อาจารย์จิตวิญญาณท่านหนึ่งเห็นเช่นนี้ ก็ไม่กล่าวอะไรมาก รีบยกมือขึ้น

ศิษย์จิตวิญญาณที่อยู่นอกค่ายกลก็กระตุ้นขวดยาวในมือในทันที จากนั้นน้ำจิตวิญญาณก็กลายเป็นแสงสีขาวพุ่งออกมาเหมือนเดิมอีกครั้ง

จุดแสงสีขาวจำนวนมากลอยลงในค่ายกลอีกครั้ง และลอยลงไปยังบนตัวของศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณ กลุ่มแสงที่พันรอบตัวพวกเขาก็กลับมาฟื้นฟูอีกครั้ง

ฝนจิตวิญญาณก็ตกมาอย่างหนาแน่นอีกครั้ง

……

เด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในค่ายกล อยู่ๆ สีหน้าที่แสดงความเจ็บปวดก็หายไป กลับกลายเป็นสีหน้าดูผ่อนคลายเข้ามาแทนที่

เขาอ้าปากเปล่งเสียงร้องชัดเจนออกมาในทันที ในขณะเดียวกันภายในร่างของเขาก็มีเสียงดังราวกับจุดประทัด จากนั้นก็ปรากฏแถบแสงสีขาวบนร่างของเขาทีละเส้น หนึ่งเส้น สองเส้น สามเส้น…จนกระทั่งครบหกเส้นถึงหยุดลง

เด็กหนุ่มผู้นี้ตอนแรกก็รู้สึกฉงนสนเท่ห์ แต่เมื่อก้มลงไปดูเห็นแถบแสงทั้งหกที่พันอยู่บนตัวเขาแล้ว ก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ

“ข้าเปิดทะเลจิตวิญญาณสำเร็จแล้ว ข้าคือผู้ที่มีหกชีพจรจิตวิญญาณ ข้าเป็นศิษย์จิตวิญญาณแล้ว”

“ตะโกนทำไม ยังมีคนที่ยังไม่สำเร็จอยู่ เจ้าอยู่ในนั้นควบคุมทะเลจิตวิญญาณให้มั่นคง เมื่อออกไปแล้วก็จะไม่มีโอกาสที่ดีแบบนี้อีกแล้ว” เมื่ออาจารย์จิตวิญญาณท่านหนึ่งเห็นดังนี้ ก็กล่าวตำหนิออกมา

ศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณผู้นี้ถึงได้สติแล้วรีบนั่งขัดสมาธิลงไปอีกครั้ง ฝึกควบคุมทะเลจิตวิญญาณต่อไป

หลังจากมีคนเปิดทะเลจิตวิญญาณคนแรกสำเร็จได้ไม่นาน คนที่สอง คนที่สามก็ค่อยๆ ตามมา แต่ในระหว่างนี้ก็มีผู้ที่ทนต่อพลังต่อต้านไม่ไหวจนศีรษะระเบิดออกมา

เมื่อประมุขนิกายที่อยู่บนแท่นสูงเห็นเจียหลานดรุณีที่สวยสดงดงามเปิดทะเลจิตวิญญาณสำเร็จเช่นกันและมีหกชีพจรจิตวิญญาณ ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ถึงแม้คุณสมบัติของหกชีพจรจิตวิญญาณในบรรดาศิษย์จิตวิญญาณแล้ว นับว่ามีคุณสมบัติอยู่แค่ขั้นกลางเท่านั้น แต่ขอแค่ทางนิกายให้การสนับสนุนบ่มเพาะจนกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณก็จะยังมีโอกาสพัฒนาต่อไปได้

สำหรับอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่น ในตอนนี้กลับรู้สึกแตกต่างออกไป

ผู้ที่มีศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณที่ตัวเองเลือกได้เปิดทะเลจิตวิญญาณสำเร็จก็รู้สึกดีใจเป็นธรรมดา แต่ผู้ที่มีศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณที่เลือกไว้เปิดจิตวิญญาณไม่สำเร็จ ซ้ำร้ายยังมีบางคนเสียชีวิตจากพิธีในครั้งนี้ แน่นอนว่าย่อมรู้สึกกลัดกลุ้มเป็นธรรมดา

ตำแหน่งที่ยังว่างอยู่นั้นคงต้องเลือกจากศิษย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ แล้ว

สำหรับลูกหลานตระกูลขุนนางนั้น ถึงแม้จะมีจำนวนมาก แต่ผู้ที่สามารถกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณได้นั้นมีอยู่น้อยมาก นอกจากรายชื่อที่อาจารย์จิตวิญญาณกุยได้เลือกไว้แล้ว คนอื่นๆ ก็แทบจะคาดหวังอะไรไม่ได้เลย

เมื่ออาจารย์จิตวิญญาณเหลยออกคำสั่งแล้ว ในที่สุดก็มาถึงตาของหลิ่วหมิงและลูกหลานตระกูลขุนนางคนอื่นๆ

เมื่อลูกหลานตระกูลขุนนางกลุ่มแรกเข้าไปในค่ายกลผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว สีหน้าของหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ก็ดูผิดปกติ

ลูกหลานตระกูลขุนนางหนึ่งร้อยคนนี้ ไม่มีใครเปิดทะเลจิตวิญญาณได้สำเร็จเลย ทั้งยังเสียชีวิตไปกว่าสองในสามของจำนวนทั้งหมด

คนที่เหลือสามสิบกว่าคนเดินออกจากค่ายกลราวกับซากศพที่ไร้วิญญาณ ในตอนนั้นลูกหลานตระกูลขุนนางคนอื่นๆ ต่างก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปข้างในค่ายกลอีก

“ถ้าหากพวกเจ้าไม่ยอมเข้าไปก็ดี นิกายของเราจะได้ประหยัดทรัพยากรไปอย่างมาก แต่พวกเจ้าก็จะต้องลดขั้นเป็นศิษย์นิกายสายนอก” เมื่ออาจารย์จิตวิญญาณเหลยเห็นเช่นนี้ ก็แค่หัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมาโดยไม่ได้เร่งรัดอะไร

โลกของการฝึกฝนเดิมทีก็เป็นโลกของผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้น เขาไม่สงสารลูกหลานตระกูลขุนนางเหล่านี้เลยสักนิด

“หึ! มาถึงขนาดนี้แล้วจะกลัวอะไร ข้าจะเข้าไปเอง” ลูกหลานตระกูลขุนนางผู้หนึ่งอุทานหึ! ออกมาแล้วก้าวเท้ายาวๆ เดินนำเข้าไป

ผู้นั้นก็คือเหลยเจิ้น ลูกหลานของตระกูลเหลยนั่นเอง

อาจารย์จิตวิญญาณเหลยที่อยู่กลางอากาศเห็นลูกหลานผู้นี้ ก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย แต่เพียงประเดี๋ยวเดียวก็ยิ้มแล้วไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก

เมื่อเห็นมีคนนำแล้ว บรรดาเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยก็เกิดความวุ่นวายสักครู่ ในที่สุดก็มีคนใจกล้าเดินตามเข้าไป

ดวงตาของหลิ่วหมิงเปล่งประกายเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าเบาๆ จากนั้นก็เดินตามเข้าไป

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา