หลังจากคัมภีร์สีทองถูกลมพัดสั่นไหว ก็ทอประกายแสงสีทองขึ้นกลางอากาศ
อาจารย์จิตวิญญาณเหลยใช้มือข้างหนึ่งทำท่ามือ รัศมีแสงที่โอบล้อมกายเขาอยู่ก็หายไป ใบหน้าแท้จริงของเขาก็เผยออกมา
ปรากฏชายรูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ที่นั่น ใบหน้าเต็มไปด้วยหมวดที่โค้งงอ สวมเสื้อผ้าสีม่วง หน้าอกกว้าง ไหล่ผึ่งผาย เอวกลม ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกได้ถึงบุคลิกอันน่าเกรงขาม
อาจารย์จิตวิญญาณเหลยจ้องมองอักขระที่ปรากฏในม่านแสงนั้น เขาเปลี่ยนท่ามือแล้วเริ่มร่ายคาถาอะไรบางอย่างออกมา
หลิ่วหมิงกลับรู้สึกประหลาดใจเมื่อค้นพบว่าตัวเองไม่ได้ยินเสียงร่ายคาถานั้น เขามองไปยังคนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ๆ
พบว่าพวกเขาต่างก็ทำสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน
เห็นได้ชัดไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่ไม่ได้ยิน
แต่พอสายตาเขามองไปในค่ายกลนั้น กลับค้นพบว่าหลังจากที่อาจารย์จิตวิญญาณเหลยร่ายคาถาออกมาแล้วศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณเหล่านี้แสดงสีหน้าเจ็บปวดเป็นอย่างมาก บางคนอยู่ๆ ใบหน้าก็บิดเบี้ยวขึ้นมา ในขณะเดียวกันกลุ่มแสงสีขาวที่พันตัวพวกเขาอยู่ๆ ก็เปล่งประกายกะพริบแสงไม่หยุด
ฝีมือของอาจารย์จิตวิญญาณนี้ช่างลึกลับมหัศจรรย์อย่างหาที่เปรียบมิได้ คาถาที่ร่ายออกมานี้มีผลลัพธ์มุ่งไปยังแค่ในค่ายกลเท่านั้น คนที่อยู่นอกค่ายกลไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย
หลิ่วหมิงจับตามอง รอคอยผลของคาถาอย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว ผู้ฝึกพลังปราณถึงแม้จะสามารถใช้อาวุธอาญาสิทธิ์ในการแสดงพลังออกมา แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เห็นนี้ได้เลย
เสียงดัง “โพละ โพละ” เด็กหนุ่มสองคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในค่ายกลนั้น หลังจากที่ใบหน้าเขาดูเกร็งไปสักครู่ ทันใดนั้นศีรษะของพวกเขาก็ระเบิดกระจายออกมา ร่างที่ไร้ศีรษะโอนเอนสักครู่แล้วล้มลงไปบนพื้น
ได้เห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้ ลูกหลานตระกูลขุนนางที่ขี้ขลาดบางคนถึงกับอ้าปากค้างพูดไม่ออก คนอื่นๆ ก็สีหน้าซีดเผือดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณของนิกายปีศาจที่ยังไม่ได้เข้าไป ต่างก็แสดงสีหน้ากระวนกระวายใจอย่างอดไม่ได้เช่นกัน
แต่อาจารย์จิตวิญญาณที่อยู่กลางอากาศ และศิษย์จิตวิญญาณที่อยู่นอกค่ายกลทำราวกับไม่ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
ตอนที่สายตาหลิ่วหมิงกวาดมองผ่านไปยังร่างไร้ศีรษะนั้น ศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณคนที่สามก็ลุกขึ้นยืน มือทั้งสองของเขาไขว่คว้าสะเปะสะปะสักครู่ แล้วศีรษะของเขาก็ระเบิดแตกกระจุยออกมาเช่นกัน
“ฮึ! ใช้ไม่ได้จริงๆ แค่เพิ่งเริ่มต้นก็ไม่สามารถต้านทานพลังนี้ได้ ครั้งต่อไปถ้านิกายเขาจะเลือกคนที่มีชีพจรจิตวิญญาณมาฝึกคงต้องเข้มงวดกว่านี้แล้ว” ประมุขนิกายที่อยู่บนแท่นสูงรู้สึกไม่ชอบใจ จึงอุทานหึ! แล้วกล่าวออกมา
“ท่านประมุข ก่อนที่จะเข้าร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณ พวกเราก็ได้แค่คาดเดาความสามารถของศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณเหล่านี้ เรื่องผิดพลาดที่เกิดขึ้นนี้จึงยากหลีกเลี่ยงได้ ศิษย์ที่เสียชีวิตไปเมื่อสักครู่ เดิมทีเป็นศิษย์ที่ข้าค่อนข้างให้ความสำคัญมาก ตอนฝึกเขายังสามารถทำออกมาได้ดีทีเดียว” ศิษย์น้องหลินกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มฝืนๆ
“ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม นิกายของเราก็ใช้ทรัพยากรไปกับศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณแต่ละคนไปจำนวนมาก เลือกศิษย์ที่มาฝึกครั้งหน้าให้เข้มงวดขึ้นอีกสักหน่อย ข้อผิดพลาดย่อมไม่เกิดขึ้น” ประมุขนิกายกล่าวอย่างนิ่งเฉย
“รับทราบ เลือกศิษย์มาฝึกครั้งหน้าศิษย์น้องและศิษย์พี่คนอื่นๆ จะปรึกษาหารือกันให้มากกว่านี้ แล้วเลือกศิษย์ที่โดดเด่นกว่านี้” ศิษย์น้องหลินกล่าวออกมา
เมื่อประมุขนิกายได้ยินเช่นนี้ ค่อยมีสีหน้าผ่อนคลายแล้วพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็มองดูศิษย์คนอื่นๆ ต่อไป
หลังจากศิษย์สามคนเสียชีวิตแล้วในค่ายกลก็ยังไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก แต่เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไปกลุ่มแสงสีขาวโพลนราวกับใยฝ้ายที่พันอยู่รอบคนจำนวนหนึ่ง ก็เริ่มเกาะกลุ่มลอยขึ้นมาแล้วเจาะลงไปที่ผิวหนังของศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณทั้งหลาย
สีหน้าของศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณเหล่านี้ดูเกร็งไปในทันที มีจำนวนไม่น้อยที่ร่างกายสั่นสะท้านและชักกระตุก ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำขึ้นมา และยังมีอาการคลุ้มคลั่งออกมาด้วย
หลังจากมีเสียงดังเบาๆ ลอยออกมา ก็มีศพสี่ห้าศพล้มลงไปในกองเลือดของตัวเอง
เมื่อหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ หางตาก็กระตุกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ตอนนี้ค่ายกลจิตวิญญาณค่อยๆ หยุดลง กลุ่มแสงสีขาวที่พันอยู่บนตัวศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณก็บีบตัวเล็กลงไปมาก แม้กระทั่งมือเท้าทั้งสี่ก็โผล่ออกมา
อาจารย์จิตวิญญาณท่านหนึ่งเห็นเช่นนี้ ก็ไม่กล่าวอะไรมาก รีบยกมือขึ้น
ศิษย์จิตวิญญาณที่อยู่นอกค่ายกลก็กระตุ้นขวดยาวในมือในทันที จากนั้นน้ำจิตวิญญาณก็กลายเป็นแสงสีขาวพุ่งออกมาเหมือนเดิมอีกครั้ง
จุดแสงสีขาวจำนวนมากลอยลงในค่ายกลอีกครั้ง และลอยลงไปยังบนตัวของศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณ กลุ่มแสงที่พันรอบตัวพวกเขาก็กลับมาฟื้นฟูอีกครั้ง
ฝนจิตวิญญาณก็ตกมาอย่างหนาแน่นอีกครั้ง
……
เด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในค่ายกล อยู่ๆ สีหน้าที่แสดงความเจ็บปวดก็หายไป กลับกลายเป็นสีหน้าดูผ่อนคลายเข้ามาแทนที่
เขาอ้าปากเปล่งเสียงร้องชัดเจนออกมาในทันที ในขณะเดียวกันภายในร่างของเขาก็มีเสียงดังราวกับจุดประทัด จากนั้นก็ปรากฏแถบแสงสีขาวบนร่างของเขาทีละเส้น หนึ่งเส้น สองเส้น สามเส้น…จนกระทั่งครบหกเส้นถึงหยุดลง
เด็กหนุ่มผู้นี้ตอนแรกก็รู้สึกฉงนสนเท่ห์ แต่เมื่อก้มลงไปดูเห็นแถบแสงทั้งหกที่พันอยู่บนตัวเขาแล้ว ก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ
“ข้าเปิดทะเลจิตวิญญาณสำเร็จแล้ว ข้าคือผู้ที่มีหกชีพจรจิตวิญญาณ ข้าเป็นศิษย์จิตวิญญาณแล้ว”
“ตะโกนทำไม ยังมีคนที่ยังไม่สำเร็จอยู่ เจ้าอยู่ในนั้นควบคุมทะเลจิตวิญญาณให้มั่นคง เมื่อออกไปแล้วก็จะไม่มีโอกาสที่ดีแบบนี้อีกแล้ว” เมื่ออาจารย์จิตวิญญาณท่านหนึ่งเห็นดังนี้ ก็กล่าวตำหนิออกมา
ศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณผู้นี้ถึงได้สติแล้วรีบนั่งขัดสมาธิลงไปอีกครั้ง ฝึกควบคุมทะเลจิตวิญญาณต่อไป
หลังจากมีคนเปิดทะเลจิตวิญญาณคนแรกสำเร็จได้ไม่นาน คนที่สอง คนที่สามก็ค่อยๆ ตามมา แต่ในระหว่างนี้ก็มีผู้ที่ทนต่อพลังต่อต้านไม่ไหวจนศีรษะระเบิดออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา