หลิ่วหมิงเดินเข้าไปโดยไม่สนใจใคร เขาหาที่นั่งในมุมๆ หนึ่ง แล้วนั่งขัดสมาธิลงไปด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ
เขามองออกว่าอาจารย์จิตวิญญาณเหลยและอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ หลังจากผ่านพิธีเปิดจิตวิญญาณมาแล้วหลายครั้ง ก็มีลักษณะท่าทางที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปบ้าง
และประกายแสงของผลึกใสก้อนใหญ่ที่วางอยู่ในค่ายกลเหล่านั้น ก็ไม่แสบตาเท่าตอนเริ่มพิธีใหม่ๆ แล้ว
ถึงแม้จะไม่ทราบว่าโดยปกติแล้วอาจารย์จิตวิญญาณสามารถร่ายคาถาช่วยเสริมได้กี่ครั้ง และก็ไม่ทราบว่าเมื่อพลังของผลึกใสนั้นหมดสิ้นแล้ว จะมีผลต่อคนที่อยู่ในค่ายกลอย่างไร แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เข้าไปทดสอบ
ยิ่งไปกว่านั้นจากการที่เขาได้สังเกตไปหลายรอบก่อนหน้านั้น สิ่งที่ควรได้เห็นก็ได้เห็นแล้ว ถึงแม้จะรอเข้าไปเป็นกลุ่มสุดท้ายได้ก็หาได้มีประโยชน์อันใดไม่ ไม่สู้เข้าไปเปิดทะเลจิตวิญญาณก่อนจะดีกว่า
เชื่อว่าลูกหลานตระกูลขุนนางคนอื่นๆ ที่สามารถคิดได้แบบนี้ก็มีไม่น้อย แต่ตอนที่ได้เห็นภาพการเสียชีวิตที่น่าสยดสยองแล้ว กลับทำให้พวกเขาบางส่วนถอยกรูดไป
ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ก็ตาม แต่เพียงครู่เดียวก็มีคนรวมกลุ่มกันได้ครบหนึ่งร้อยคนอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงคาดไม่ถึงก็คือ เกาชงและมู่หมิงจูก็อยู่ในนี้ด้วย ทำให้เขากวาดสายตามองไปที่ทั้งสองอย่างห้ามไม่ได้
สีหน้าของมู่หมิงจูดูไม่ค่อยดีนัก ดวงตาคู่งามแฝงไปด้วยความหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้สร้างความหวาดผวาให้ไม่ใช่น้อย
แต่เด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ถึงแม้จะมีสีหน้าซีดเผือดไปบ้าง แต่เห็นได้ชัดว่าสีหน้าดูสงบกว่าดรุณีน้อยที่อยู่ด้านข้างมาก
“เริ่มได้”
พออาจารย์จิตวิญญาณเหลยเห็นจำนวนคนครบแล้วก็รีบออกคำสั่งทันที ครู่เดียวค่ายกลทั้งค่ายก็ถูกกระตุ้นจนเสียงดังกระหึ่มอีกครั้ง ในขณะเดียวกันน้ำจิตวิญญาณหลายสิบหยดก็พุ่งลงไปในค่ายกล สายฝนจิตวิญญาณที่หนาแน่นตกลงมาอีกครั้ง
หลังจากเสียง “ตู้ม” ดังขึ้น กลุ่มแสงขนาดใหญ่ก็ตกลงมาจากข้างบน และกดลงไปที่ตัวของหลิ่วหมิงอย่างมั่นคง
ตอนนี้หลิ่วหมิงรู้สึกว่าไหล่ทั้งสองเหมือนแบกน้ำหนักหมื่นชั่ง[1]ไว้ หน้าอกเริ่มร้อนขึ้น ร่างกายไม่อาจทนต่อแรงกดดันนั้นได้จนทรุดลงบนพื้น
ตอนนี้เขาไม่สนใจผู้อื่นอีกต่อไป ตอนนี้เขาเห็นแค่ตัวเองถูกแสงสีขาวพันไว้ และผ่านเพียงครู่เดียวก็บังเกิดความเย็นที่หลัง ราวกับว่ามีสิ่งของอะไรบางอย่างซอนไซเข้าไปในร่างเขา และยังกลิ้งตัวไปยังจุดตันเตียนอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ได้มองดูคนอื่นๆ เปิดจิตวิญญาณแล้ว จึงรู้ว่านี่คือพลังที่อาจารย์จิตวิญญาณส่งเข้าไปในร่างกายของเขา ในใจของเขาก็เลยไม่ได้เกิดความหวาดกลัวอะไร เขารีบเอามือทั้งสองยันไปที่พื้นเพื่อจะพยุงกายขึ้น
แต่ว่ายิ่งออกแรงมากขึ้นเท่าไหร่ ร่างกายยิ่งถูกกดให้ติดอยู่ที่พื้นมากขึ้นเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้
หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดผวาเล็กน้อย
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะเห็นคนอื่นๆ ลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก แต่ก็คิดไม่ถึงว่ามันจะยากเย็นขนาดนี้
เขาไม่ใช่ผู้ที่เกิดมาพร้อมกับพลังอันแข็งแกร่งราวกับเทพ และก็ไม่ได้ฝึกฝนในด้านนี้มาโดยเฉพาะ ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปล่ะก็ ลำพังแค่ใช้พลังของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะลุกขึ้นได้
เมื่อหลิ่วหมิงคิดถึงจุดนี้ เขาก็หายใจถี่ขึ้น จากนั้นเขาค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าไปสองสามครั้ง แล้วเค้นเสียงตะโกนออกมาแขนทั้งสองขยายใหญ่ขึ้นเท่าตัว จากนั้นค้ำยันไปบนพื้นแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นมา
ในขณะนั้นเขาใช้เคล็ดวิชาปลุกกระตุ้นพลังภายใน ทำให้แขนทั้งสองมีพลังเพิ่มขึ้นหลายเท่าในชั่วพริบตา จากนั้นเขาก็ค่อยๆ กลับมานั่งตัวตรงได้อีกครั้ง
ในระหว่างขั้นตอนนี้ เด็กหนุ่มถึงกับได้ยินเสียงดังกรอบแกรบของโครงกระดูกในร่างกาย กล้ามเนื้อและผิวหนังทั่วสรรพางค์กายถูกกดดันอย่างหนักจนค่อยๆ แดงออกมา
ผ่านไปชั่วครู่ ในที่สุดหลิ่วหมิงก็สามารถนั่งได้ตรงตามปกติ ตอนนี้เขาถึงมีเวลาสังเกตผู้อื่น แต่ผลลัพธ์ที่เห็นทำให้เขารู้สึกขมขื่นในใจ เพราะเขาไม่ใช่คนแรกที่ลุกขึ้นได้ ลูกหลานตระกูลขุนนางนางคนอื่นๆ จำนวนไม่น้อยลุกขึ้นมาได้ก่อนหน้าเขาแล้ว ในนั้นมีมู่หมิงจูดรุณีน้อยที่ดูบอบบางด้วย
ลูกหลานตระกูลขุนนางคนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าก็เหมือนกับศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณของนิกายปีศาจ ทุกคนต่างก็ถูกฝึกฝนในด้านนี้มาโดยเฉพาะ หรือมีวิธีการใช้เคล็ดวิชาปลุกกระตุ้นพลังภายในที่คล้ายกับเขา
แต่ตอนที่เขามองไปที่เหลยเจิ้นกลับทำให้เขาต้องหยุดสายตาอยู่ตรงนั้นไปสักพัก
คนผู้นี้แสดงออกราวกับว่าไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากแสงสีขาวนั้น เสื้อผ้าบนตัวเขาไม่มีรอยยับแม้แต่น้อย ดูเหมือนกับว่าไม่ได้ถูกพลังแสงสีขาวนั้นทำอะไรเขาเลย
ตอนที่หลิ่วหมิงกำลังคาดเดาอยู่ในใจ ด้านบนค่ายกลก็มีเสียงคลุมเครือของคาถาดังมา ตอนแรกเสียงเหมือนจะลอยมาจากที่ไกลแสนไกล แต่ในฉับพลันก็ดังครั่นครืนราวกับฟ้าร้องอยู่ข้างหูไม่หยุด
ในตอนนั้นเขารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเดือดพล่านขึ้นมา พลังภายในที่เดิมทีนิ่งสงบอยู่ก็ไหลเวียนตามชีพจรไปทั่วทุกส่วนของร่างกายอย่างบ้าคลั่ง พลังนี้ยิ่งไหลเวียนเร็วขึ้นยิ่งดุเดือดมากขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา