สรุปเนื้อหา ตอนที่ 18 ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาและมู่อวิ๋นเซียน – ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet
บท ตอนที่ 18 ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาและมู่อวิ๋นเซียน ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ในตอนนี้ ประมุขนิกายและอาจารย์จิตวิญญาณทั้งหมดต่างก็จ้องมองเกาชงที่ลอยอยู่ตาไม่กะพริบ ไหนเลยจะมีเวลาละสายตาไปดูลูกหลานตระกูลขุนนางคนอื่นๆ ได้
เสียงดัง “ฟิ้ว” รัศมีสิบสองชั้นก็ล้อมรอบกายเกาชงภายในพริบตา จากนั้นเขาก็ลืมตาแล้วตะโกนเสียงดังยาวออกมา
เสียงนั้นหนักแน่นและยาวนาน หลังจากผ่านไปสักพักถึงค่อยๆ สงบขึ้นมา
“อาาา นี่ข้า…” เกาชงเพิ่งจะค้นพบว่าตัวเองอยู่กลางอากาศ ทำให้เขาตกใจและร่วงลงมาบนพื้น
“เด็กน้อย เจ้าไม่ต้องกลัว”
ตอนนี้เกาชงได้ยินเสียงมีพลังพิศวงบางอย่างดังอยู่ข้างหู
เสียงดัง “ปัง”
ร่างของเด็กหนุ่มถูกพลังมหาศาลค้ำยันให้อยู่นิ่งกลางอากาศ พร้อมกับแสงสว่างจ้าตรงหน้า ปรากฏหน้าผู้อาวุโสผมสีเหลืองสวมใส่ชุดทำมาจากผ้าป่าน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มจ้องมองเด็กหนุ่มอยู่ไม่หยุด
ฟังจากเสียงเมื่อสักครู่แล้ว เขาก็คือประมุขนิกายปีศาจนั่นเอง แต่ไม่รู้ว่าเขาเปิดเผยใบหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่
เกือบจะในเวลาเดียวกัน ก็มีลมพัดจากข้างๆ อาจารย์จิตวิญญาณเหลย ศิษย์น้องหลิน ศิษย์น้องฉู่ และอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ก็ปรากฏกายออกมา แต่เมื่อเห็นท่านประมุขนิกายมาถึงก่อนไม่กี่ก้าว ต่างก็ได้แต่มองหน้ากันพูดอะไรไม่ออก
“ท่านประมุข เด็กนี่คือ…” ศิษย์น้องฉู่ลังเลครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากถามออกไป
“ตอนนี้พวกเจ้าไม่ต้องพูดมากแล้ว พิธีเปิดจิตวิญญาณยังไม่สิ้นสุด รอพิธีเสร็จสิ้นแล้วค่อยมาพูดเรื่องของเด็กคนนี้กัน กลับไปปกป้องค่ายกลก่อน มิฉะนั้นหากเกิดอะไรขึ้นข้าจะใช้กฎของนิกายจัดการกับพวกเจ้า” ประมุขนิกายยกมือขึ้นห้าม แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด
คนอื่นๆ ต่างก็มองหน้ากันสักครู่ ถึงแม้จะไม่เต็มใจแต่ก็ไม่อาจขัดคำสั่งได้ ทำได้เพียงขานรับแล้วเหาะกลับไปยังที่เดิม
แต่สายตาของคนกว่าครึ่งหนึ่งยังมองไปที่เกาชงอย่างละสายตาไม่ได้
และในตอนนี้เกาชงถึงรู้ว่าผู้อาวุโสท่านนี้คือประมุขนิกายปีศาจ เขารีบยกมือคารวะด้วยความตกใจ
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก ในเมื่อเจ้าตอนนี้สามารถก่อรากฐานของชีพจรจิตวิญญาณพสุธาได้ ค่ายกลกับน้ำจิตวิญญาณนี้ไม่มีผลกระทบต่อเจ้ามากนัก ตามข้าไปทางนั้นก่อน ข้ามีเรื่องจะถามเจ้าสักหน่อย” ประมุขนิกายยกมือขึ้นห้ามการคารวะจากเด็กหนุ่ม แล้วกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเมตตาและอ่อนโยน
ถึงแม้เกาชงจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่เมื่อได้รับความเมตตาเช่นนี้ ย่อมไม่กล้ากล่าวปฏิเสธออกไปอย่างแน่นอน
ดังนั้นประมุขนิกายจึงขว้าแขนของเกาชงแล้วพาเหาะไปยังแท่นสูงทันที
ศิษย์น้องหลินเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบเหาะตามไปทันที
ศิษย์น้องฉู่และคนอื่นๆ ที่เหลือได้แต่แอบคร่ำครวญไม่หยุด
นักปราชญ์กุยที่ยังร่ายคาถาอยู่เหนือค่ายกลนั้น เมื่อเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกกระวนกระวายใจยิ่งนัก
ตามที่ได้คุยกันไว้ ศิษย์ผู้ฝึกปราณอิสระผู้นี้ต้องเป็นของสาขาเก้าทารกของเขา แต่ดูจากท่าทางแล้วท่านประมุขเหมือนจะผิดสัญญาแล้ว
อย่างนี้จะไม่ให้เขาร้อนใจเหมือนกับถูกไฟลนได้อย่างไร อยากให้พิธีสิ้นสุดใจจะขาด จะได้ตามไปซักถามให้ได้ความ
และไม่ใช่มีเพียงแค่เขา ตอนนี้อาจารย์จิตวิญญาณหลายคนก็อยากให้ผู้ที่อยู่ภายในค่ายกลนี้รีบๆ ตายไปให้หมด จะได้ไม่ต้องเสียเวลาอีกต่อไป
เพราะต่างก็รู้ดีว่า ยิ่งพวกเขาอยู่ตรงนี้นานมากเท่าไหร่ ประมุขนิกายก็ยิ่งมีเวลาพูดเกลี้ยกล่อมให้เจ้าเด็กหนุ่มที่มีชีพจรจิตวิญญาณพสุธานั้นเข้าไปอยู่ร่วมกับสาขาของตนเองมากขึ้นเท่านั้น
ผู้ที่มีคุณสมบัติถึงสิบสองชีพจรจิตวิญญาณนี้ หลายร้อยปีถึงจะปรากฏขึ้นสักครั้งในแคว้นต้าเสวียน ครั้งก่อนที่นิกายมีศิษย์คุณสมบัติแบบนี้ ก็ตั้งเมื่อหลายร้อยกว่าปีมาแล้ว
สำหรับความสามารถที่เหนือกว่าชีพจรจิตวิญญาณพสุธาก็คือชีพจรจิตวิญญาณสวรรค์ ซึ่งนิกายปีศาจไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน
ตอนนี้ในแผ่นดินต้าเสวียนมีแค่นิกายที่แข็งแกร่งอย่างนิกายจันทราสวรรค์ ที่เมื่อพันกว่าปีก่อนมีผู้มีความสามารถเช่นนี้ปรากฏขึ้น
และเป็นเพราะการปรากฏกายของผู้ที่มีชีพจรจิตวิญญาณสวรรค์ จึงช่วยวางรากฐานจนนิกายจันทราสวรรค์เป็นที่เคารพและมีอำนาจเหนือนิกายอื่นๆ เป็นเวลาพันกว่าปี
ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับชีพจรจิตวิญญาณสวรรค์ แต่เมื่อเขามีการเจริญเติบโตขึ้น และทำให้นิกายปีศาจก้าวหน้าไปอีกขั้น นั่นก็เป็นความหวังที่น่ารอคอยเป็นยิ่งนัก
ในสถานการณ์แบบนี้ ศิษย์น้องฉู่และอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ต่างก็ย่อมอยากได้ศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาผู้นี้มาเข้าร่วมกับสาขาของตน สิ่งนี้จะทำให้สาขาของเขากลายเป็นสาขาที่แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของนิกายในอนาคตได้
เวลาค่อยๆ ผ่านไป เหลือเวลาอีกไม่นานพิธีก็จะสิ้นสุดลงแล้ว ลูกหลานตระกูลขุนนางในค่ายกลก็ยังมีคนศีรษะระเบิดออกมา และเสียชีวิตอยู่เรื่อยๆ ช่วงเวลานี้ยังไม่มีใครเปิดทะเลจิตวิญญาณได้
นักปราชญ์กุย ศิษย์น้องฉู่และคนอื่นๆ ต่างก็ไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย สายตากวาดมองไปที่แท่นสูงหลายต่อหลายครั้ง
เห็นแค่แท่นสูงนั้น แต่ไม่รู้ว่าประมุขนิกายพูดอะไรกับเด็กหนุ่ม ซึ่งเด็กหนุ่มนั้นก็ได้แต่พยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าวสารอยู่ไม่หยุด
เมื่อได้เห็นฉากเหล่านี้ ศิษย์น้องฉู่และอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ต่างก็หน้าเสียขึ้นมา
แต่ตอนนี้มีศิษย์จิตวิญญาณที่ใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับนางเดินเข้ามาหา แล้วโอบนางเข้าสู่อ้อมกอด แล้วกล่าวปลอบใจเบาๆ
ในที่สุดดรุณีน้อยเสื้อม่วงก็ไม่อาจกลั้นความเจ็บปวดในใจได้ จึงร้องไห้เสียงดังออกมา
ถึงอย่างไรก็ตามนางผู้นี้ก็มีอายุแค่สิบเอ็ดหรือสิบสองปีเท่านั้น และมาเผชิญกับเหตุการณ์ถึงขนาดนี้ ย่อมไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้
หลิ่วหมิงส่ายศีรษะแล้วก็ขยับเท้าก้าวเดินผ่านด้านข้างของหญิงสาวทั้งสองไป
แต่ในขณะนั้นเองหญิงสาวใบหน้างดงามนางนั้นกลับเรียกเขาให้หยุด และถามกลับไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าคงเป็นไป๋ชงเทียนสินะ ข้ามู่อวิ๋นเซียน ปีนั้นข้าเคยพบกับบิดาของเจ้าอยู่หลายครั้ง ครั้งนี้หลานไป๋สามารถเปิดทะเลจิตวิญญาณได้นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก ถ้าหากไม่รังเกียจล่ะก็หาโอกาสไปนั่งคุยด้วยกัน ข้าจะแนะนำเพื่อนให้เจ้าได้รู้จัก”
“ในเมื่อเป็นสหายเก่าของบิดาข้า รอหลานหาเวลาได้ จะต้องไปคารวะท่านอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงหันกลับไปอย่างรวดเร็ว และประสานมือกล่าวอย่างสุภาพ
“ฮาๆ งั้นข้าจะรอเจ้าแล้วกัน ใช่สิ หลานไป๋เสียนกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณแล้ว ต่อไปเจ้ากับข้าก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน ไม่ต้องเรียกข้าแบบเกรงใจขนาดนั้นก็ได้ ถ้าไม่รังเกียจละก็เรียกข้าว่า ‘พี่อวิ๋น’ ก็พอแล้ว” เมื่อมู่อวิ๋นเซียนได้ยินก็หัวเราะออกมาทันที แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มหวานๆ แฝงไปด้วยความนัย
หลิ่วหมิงกลับไม่ได้มองเห็น เขาตอบรับแล้วก็เดินจากไป
“น้าอวิ๋น เจ้าเด็กตระกูลไป๋นี่มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณเท่านั้น ชาตินี้ไม่มีวันกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ มันคุ้มค่าที่ท่านจะตีสนิทด้วยไหม” เมื่อมู่หมิงจูเห็นดังนั้นก็หยุดร้องไห้ แล้วกล่าวออกมาเบาๆ ด้วยสองตาที่แดงก่ำ
“หมิงจู เจ้าจะรู้อะไร อาจารย์จิตวิญญาณใช่ว่าจะเป็นกันได้ง่ายๆ เจ้าดูศิษย์จิตวิญญาณในนิกายเราสิ มีเป็นพันกว่าคน แต่คนที่เป็นอาจารย์จิตวิญญาณมีไม่ถึงสามสิบกว่าคน ก็เห็นแล้วว่ามันเป็นไปได้ยากสักแค่ไหน ถึงแม้จะมีเก้าชีพจรจิตวิญญาณ แต่ก็เป็นผู้ที่ฝึกฝนได้เร็วกว่าผู้ที่มีหกชีพจรจิตวิญญาณอย่างข้าสักเล็กน้อยเท่านั้น การเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้นั้นมีแค่หนึ่งถึงสองในร้อยส่วนเท่านั้นเอง แม้เจ้าเด็กคนนี้สามารถช่วยน้าได้เพียงเล็กน้อย น้าก็ต้องตีสนิทเขาไว้บ้าง อย่างน้อยมันก็ไม่ได้มีผลเสียอะไร” มู่อวิ๋นเซียนกลับส่ายศีรษะแล้วกระซิบตอบกลับไป
“น้าอวิ๋น หรือว่าท่านตกอยู่ในสภาวะที่ไม่ดีในนิกายนี้ ข้าจะต้อง…”
“วางใจเถอะ เรื่องของข้าเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ถึงแม้เจ้าจะไม่ได้กลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณ แต่ขอแค่มีน้าอวิ๋นอยู่ น้าจะไม่ให้เจ้าต้องได้รับความลำบากใจใดๆ ที่นี้ไม่เหมาะแก่การพูดจากัน รีบไปเถอะ เรื่องราวเกี่ยวกับภายในนิกายและข้อห้ามต่างๆ ข้าจะหาเวลามาเล่าให้เจ้าฟังโดยละเอียด” หญิงสาวเอ่ยปากหยุดคำพูดของดรุณีน้อย แล้วกล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม
ในใจของมู่หมิงจูรู้สึกหนาวสะท้าน เธอค่อยๆ พยักหน้า แล้วเดินตามน้าสาวออกไปจากค่ายกลนี้
ขณะนี้หลิ่วหมิงเดินมาถึงจุดรวมตัวของศิษย์จิตวิญญาณนิกายปีศาจแล้ว และนั่งลงไปข้างกายดรุณีน้อยที่หน้าตาสวยสดงดงามนางหนึ่ง
ดรุณีน้อยหันหน้ามามองสักครู่ เมื่อได้เห็นใบหน้าที่ชัดเจน ดวงตาของนางก็ฉายแววแปลกประหลาด แต่เพียงครู่เดียวสีหน้าก็หาได้แสดงความรู้สึกอันใดไม่ พร้อมกับหันหน้ากลับไปยังที่เดิม
…………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา