ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 19

ถึงแม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก สายตากวาดมองไปยังแท่นสูงนั้น

ที่นั่นมีอาจารย์จิตวิญญาณจำนวนหนึ่งล้อมเด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ เหมือนกับว่ากำลังคุยอะไรกันอยู่ แต่เนื่องจากระยะค่อนข้างไกลย่อมฟังไม่ออกว่าพวกคุยเรื่องอะไรกัน รู้สึกแค่ว่าบรรยากาศ ณ ที่นั้นเหมือนจะตึงเครียด

ในเวลาเดียวกัน แท่นสูงอื่นๆ ก็มีกลุ่มอื่นๆ อีกหลายกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่

“ศิษย์พี่ซือหม่า วันข้างหน้าของพวกเราดูเหมือนมันจะไม่ง่ายเสียแล้ว ฮ่าๆ ปีนี้อยู่ๆ ก็ปรากฏศิษย์ที่มีความสามารถถึงสามคน ร่างละเมอฝัน เก้าชีพจรจิตวิญญาณอัสนี แถมยังมีชีพจรจิตวิญญาณพสุธาที่หลายร้อยปีถึงจะได้เจอสักครั้ง เกรงว่าศิษย์น้องเหล่านี้คงจะได้รับความสำคัญจากอาจารย์จิตวิญญาณทั้งหลาย อย่างพวกเราคงไม่มีใครสนใจแล้ว” ชายรูปร่างผอมบาง สวมใส่เสื้อคลุมยาวสีขาว ที่หลังแบกหอกกระดูกไว้จำนวนมาก เขาหัวเราะแล้วพูดกับชายที่แผ่กลิ่นอายแห่งความเยือกเย็นออกมาทั่วทั้งตัว

“ฮึ! ต่อให้มีความสามารถสูงส่งแล้วอย่างไร ตอนแรกศิษย์พี่จ้าว ศิษย์พี่หลาน ต่างก็มีความสามารถสูงกว่าพวกเราทั้งหมด แต่ตอนนี้พวกเขาไปอยู่ที่ไหนกัน ถึงแม้นิกายเราจะให้ความสำคัญกับศิษย์ที่มีความสามารถ แต่ก็ยังผลักดันให้เกิดการแก่งแย่งชิงดีกันในหมู่ศิษย์ มิฉะนั้นการประลองเล็กแต่ละครั้งที่จัดขึ้นในแต่ละปี และการประลองใหญ่ที่จัดขึ้นสามปีต่อครั้ง ความเป็นความตายในการทดสอบในตอนนั้นเจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่นเหรอ ศิษย์น้องชายหญิงทั้งสามคนนี้ถึงแม้จะมีความสามารถเหนือคนอื่น แต่ก็ต้องฝึกฝนหลายปีถึงจะต่อกรกับพวกเราได้ อีกอย่าง ต่อให้มีคนกลัวว่าพวกเขาจะมาแย่งตำแหน่งในนิกาย เกรงว่าจะไม่มีแค่เจ้าและข้าเท่านั้น ศิษย์น้องหยาง ศิษย์พี่เฉียน พวกเขาเหล่านี้คงจะปวดหัวกับเรื่องเหล่านี้มากกว่าพวกเรา” ชายที่ใบหน้าเคร่งขรึมดวงตาเรียวรี ตอบกลับด้วยความเยือกเย็น

“ฮ่าๆ นั้นมันก็จริง พวกเขาอยู่ในตำแหน่งสิบศิษย์แกนนำมานาน ตอนนี้อยู่ๆ ก็ปรากฏศิษย์น้องชายหญิงที่เก่งกาจเช่นนี้ พวกเขาคงไม่อาจนั่งอยู่อย่างสงบได้” เมื่อชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงได้ยินแล้ว ก็หัวเราะออกมาเบาๆ

ในเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่งบนแท่นวงแหวนสูง หญิงสาวสองนางก็กำลังสนทนาอะไรบางอย่างอยู่กับกลุ่มศิษย์นิกายสายนอก

“ชีพจรจิตวิญญาณพสุธา คิดไม่ถึงว่าจะมาปรากฏที่นิกายของเรา ชุ่ยเอ๋อร์ ดูท่าต่อไปนี้เจ้าจะต้องเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งแล้วล่ะ แต่ก่อนในนิกายของเรานี้ ถ้าพูดถึงคนที่ฝึกฝนได้รวดเร็วที่สุด คงหนีไม่พ้นร่างไขจิตวิญญาณของเจ้า ระยะเวลาสั้นๆ แค่สามปี ก็ทำให้เจ้าไต่เต้าจากศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นไปสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นสูงได้ และชีพจรจิตวิญญาณพสุธามีสิบสองชีพจร สิ่งนี้สามารถซึมซับพลังฟ้าดินและเปลี่ยนแปลงเป็นอานุภาพความรวดเร็วที่เหนือกว่าศิษย์ธรรมดาหลายเท่านัก แม้กระทั่งเหนือกว่าเจ้าหนึ่งส่วนด้วย ยิ่งไปกว่านั้นชีพจรจิตวิญญาณพสุธาจะสามารถกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ง่ายกว่าร่างไขวิญญาณของเจ้ามาก” หญิงสาวเสื้อเหลืองที่อายุค่อนข้างมากกว่าหน่อย กล่าวขึ้นกับดรุณีน้อยเสื้อเขียวนางหนึ่งที่อายุไม่เกินสิบห้าหรือสิบหกปี

“ชีพจรจิตวิญญาณพสุธายอดเยี่ยมขนาดนั้นจริงๆ เหรอ ข้ากลับไม่เชื่อว่าร่างไขจิตวิญญาณของข้าจะฝึกฝนได้ช้ากว่าฝ่ายตรงข้าม อย่างมากก็แค่ต่อไปนี้ข้าจะเล่นให้น้อยลงหน่อย ตั้งใจฝึกฝนให้มากกว่านี้ก็พอแล้ว” ดรุณีน้อยเสื้อเขียว ผมผูกเปียเต็มศีรษะ ใบหน้ารูปตุ๊กตา เมื่อได้ยินดังนั้นก็แลบลิ้นแล้วกล่าวออกมา เผยให้เห็นใบหน้าที่ดูน่ารัก

“ข้ารู้อยู่แล้วว่าก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้ตั้งใจฝึกฝนเลย ต่อไปนี้เจ้าย้ายไปอยู่กับข้า ข้าจะเฝ้าดูเจ้าฝึกฝนเอง” หญิงสาวเสื้อน้ำเงินใบหน้ารูปแตง สวยสดงดงาม เมื่อได้ยินแล้วยิ้มกล่าวด้วยความดีใจ

“ศิษย์พี่เฉียน ไม่ต้องก็ได้มั้ง…” สีหน้าดรุณีน้อยเสื้อเขียวดูท่าลำบากใจขึ้นมา

เมื่อศิษย์หญิงนิกายสายนอกคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ทางด้านหลังเห็นดังนั้น ก็แอบหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

……

“ทุกท่าน คิดเห็นอย่างไรกับศิษย์น้องชีพจรจิตวิญญาณพสุธาผู้นี้?” ชายผู้สวมใส่ชุดทะมัดทะแมงละสายตาจากแท่นวงแหวน จากนั้นก็หันมาถามสหายที่อยู่ข้างๆ อย่างไม่เร่งรีบ

คนที่ยืนอยู่ข้างๆ เป็นศิษย์จิตวิญญาณที่มีอายุประมาณสามสิบถึงสิบกว่าปี ในนั้นยังมีชายชราผู้หนึ่งที่มีสีผมขาวโพลน

“ศิษย์น้องอู๋ก็พูดแปลก พวกเราต่างก็ผ่านการแย่งชิงเป็นศิษย์แกนนำกันมาแล้ว ความหวังในการเป็นอาจารย์จิตวิญญาณก็คล้ายกลับจะเลือนลาง ศิษย์น้องผู้นี้ถึงแม้จะมีความสามารถที่น่าตกใจ แล้วมันเกี่ยวอะไรกันกับพวกเราล่ะ” ชายผู้มีใบหน้าดำเกรียมอายุสามสิบปีถามกลับไปด้วยความแปลกใจ

“นี่ก็ไม่แน่นะ ศิษย์พี่เฟิงท่านว่าอย่างไร?” ชายสวมใส่ชุดทะมัดทะแมงส่ายหัว แล้วหันไปถามชายผมขาว

“ศิษย์น้องอู๋มีอะไรก็พูดมาตามตรงเถิด พวกเราก็นับว่ารู้จักกันมานานแล้ว ไม่ต้องพูดจาอ้อมค้อมหรอก” ชายชราผมขาวตอบกลับอย่างเฉยชา

เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้นต่างก็แสดงสีหน้าฉงนสนเท่ห์ออกมา

“เฮ่อๆ ในเมื่อศิษย์พี่พูดมาแบบนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นศิษย์น้องก็พูดตรงๆ เลยละกัน ข้าคิดที่จะพาพวกเราไปบากหน้าพึ่งอาศัยศิษย์น้องเกาผู้นี้” ชายที่สวมใส่ชุดทะมัดทะแมงหัวเราะแล้วกล่าวออกมาโดยไม่ปิดบัง

“อะไรนะ ไปพึ่งอาศัยผู้ที่เพิ่งจะกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณเหรอ?” ในขณะนั้นก็มีคนหลุดปากพูดออกมาในทันที

“ไม่ผิด ทุกท่านเคยคิดไหมว่าพวกเราศิษย์จิตวิญญาณเหล่านี้ เป็นเพราะอายุมากแล้วไม่สามารถแย่งชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำได้ ทรัพยากรที่ทางนิกายมอบให้เราน้อยกว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่ามาก ปกติก็ต้องเสี่ยงชีวิตทำภารกิจให้สำเร็จเพื่อที่จะแลกมาซึ่งทรัพยากรอันน้อยนิดมาเพื่อใช้ในการฝึกฝนต่อ ในสถานการณ์แบบนี้พวกเจ้าคิดว่าต่อไปพวกเราจะมีโอกาสกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้เหรอ ตามที่ข้ารู้มา นิกายมีชื่อเสียงนิกายอื่นๆ ผู้ที่มีอายุเกินสามสิบแล้วแต่ยังเป็นศิษย์จิตวิญญาณอยู่ ต้องใช้ทรัพยากรเป็นอย่างมาก แล้วต้องมีอาจารย์จิตวิญญาณยื่นมือช่วยอีกแรงถึงจะโชคดีเข้าสู่ดินแดนอาจารย์จิตวิญญาณได้” ชายสวมใส่ชุดทะมัดทะแมงค่อยๆ กล่าวออกมา

“อ๋อ ความหมายของศิษย์น้องอู๋ก็คือ พวกเราจะช่วยดันให้เจ้าเด็กชีพจรจิตวิญญาณพสุธานี้กลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ เพื่อที่ว่าหลังจากเขาเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้วให้เขายื่นมือมาช่วยเรา” สายตาของชายชราผมขาวเปล่งประกายออกมา ตอนนี้เขาเข้าใจความหมายของชายสวมใส่ชุดทะมัดทะแมงแล้ว

“ศิษย์พี่เฟิงปราดเปรื่องยิ่งนัก ข้าหมายความเช่นนี้จริงๆ ถึงแม้นิกายเราจะมีกฎที่เข้มงวด ศิษย์จิตวิญญาณที่มีอายุเยอะอย่างพวกเราก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต่อสู้กับพวกศิษย์ใหม่ แต่ว่ากฎเป็นของตาย คนเป็นสิ่งที่มีชีวิต ถ้าหากได้รับการช่วยเหลือสักหน่อย ข้าคิดว่าศิษย์น้องผู้นี้ก็คงไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด และเรื่องสำคัญแบบนี้ ก่อนหน้านั้นไม่มีใครเคยทำมาก่อน” ชายสวมใส่ชุดทะมัดทะแมงกล่าวโดนมีแผนอยู่ในใจ

“อืม นี่ก็เป็นวิธีการหนึ่ง” พอทุกคนเข้าใจความหมายของชายผู้นี้ คนอื่นก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา