ที่ตั้งของนิกายปีศาจมียอดเขาใหญ่เล็กสิบกว่าลูก แต่ในบรรดาเขาใหญ่เหล่านี้ต่างก็เป็นที่ตั้งของสาขาทั้งแปด มีแค่ยอดเขาที่ใหญ่สุดนั้นไม่ได้ตกเป็นของสาขาใด และบนยอดเขานั้นก็มีหอดำเนินการ หอเก็บคัมภีร์ ห้องปรุงโอสถ เป็นต้น แต่ละที่ล้วนเป็นสถานที่ที่สำคัญของนิกาย และมีศิษย์ผลัดเปลี่ยนเวรยามกันเฝ้าตลอดวันตลอดคืน
หอบูรพาจารย์เป็นสถานที่เซ่นไหว้บูรพาจารย์ของนิกายปีศาจ ดังนั้นจึงสร้างบนที่สูงกว่าหออื่นๆ
เมฆดำก้อนใหญ่ลอยลงมาตรงพื้นที่ราบกลางเขา ในบัดดลนั้น ศิษย์สวมชุดเขียวหลายคนเหาะมาจากห้องโถงที่อยู่ไม่ไกลออกไปด้วยความรวดเร็ว และคารวะมาทางอาจารย์จิตวิญญาณหญิงที่อยู่บนเมฆดำ
“คารวะอาจารย์อาหลี่ เรื่องในหอบูรพาจารย์ได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่รอท่านประมุขนิกายและอาจารย์จิตวิญญาณทุกท่านแล้ว”
“ดีมาก เจ้านำศิษย์ใหม่เหล่านี้เข้าไปก่อนเถอะ อีกสักครู่ท่านประมุขคงจะมาถึง” อาจารย์อาหลี่สั่ง
“รับทราบท่านอาจารย์อา” ศิษย์เสื้อเขียวเหล่านี้พยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็มุ่งตรงไปทางหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ จากนั้นก็พาศิษย์ใหม่เหล่านี้ไปยังโถงใหญ่
อาจารย์จิตวิญญาณหลี่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมสักครู่ จากนั้นก็ตัดสินใจยืนรอประมุขนิกายอยู่ด้านนอก
หลิ่วหมิงเบียดอยู่ในกลุ่มคน ตอนที่เดินไปยังประตูใหญ่ของห้องโถงก็กวาดสายตาดูไปด้วย
ด้านบนมีป้ายสีเงินยาวหลายจั้งแขวนอยู่ ที่ป้ายนั้นเขียนด้วยอักขระสีทองที่ค่อนข้างใหญ่ว่า “หอบูรพาจารย์” และมีประกายระยิบระยับ
พอเข้าไปในประตูใหญ่แล้ว ศิษย์จำนวนไม่น้อยต่างก็สูดเอาไอเย็นเข้าไปหนึ่งเฮือก
ดูจากภายนอกดูเหมือนจะเป็นหอที่สร้างขึ้นแบบธรรมดาๆ แต่ข้างในหอกลับสูงถึงสิบจั้งกว่าๆ เป็นห้องโถงที่มีขนาดใหญ่หลายสิบหมู่
ตรงกลางโถงทั้งสองข้างมีเก้าอี้สีดำเกือบร้อยตัวตั้งวางอยู่ ด้านในโถงมีรูปวาดโบราณขนาดยาวจั้งกว่าๆ แขวนอยู่
ในรูปนั้นมีภาพด้านหลังของนักพรตใส่เสื้อผ้าสีเขียวทั้งตัว บนศีรษะมีปิ่นเงินยาวหลายนิ้วปักอยู่ ที่หลังสะพายดาบไร้ฝักอยู่หนึ่งเล่ม เท้าทั้งสองเหยียบหัวปีศาจที่หน้าตาโหดร้ายน่ากลัวอยู่ตนหนึ่ง ข้างกายมีไอดำล้อมรอบอยู่สลัวๆ แลดูลึกลับซับซ้อนยิ่งนัก
ทางด้านล่างของรูปวาดนั้น มีโต๊ะบูชาสีเงินยาวห้าถึงหกจั้ง ทั้งสองด้านของโต๊ะมีเทียนที่จุดสว่างตั้งอยู่สองเล่ม ตรงกลางมีป้ายวิญญาณสีทองประมาณสิบห้าสิบหกอัน บนป้ายนั้นมีชื่อที่เขียนด้วยอักขระสีดำติดอยู่
และที่ด้านหน้าของโต๊ะบูชานี้มีกระถางธูปสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ ในกระถางธูปนั้นเต็มไปด้วยธูปหลายดอกที่ไหม้ไปแล้วกว่าครึ่งหนึ่งเสียบอยู่ด้วย ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกได้ถึงความเคร่งขรึมและน่าเคารพ
ศิษย์เสื้อเขียวเหล่านั้นพาศิษย์ใหม่ทั้งหลายเข้าไปยืนอยู่ในโถงแล้วก็กลับไปยืนอย่างสำรวมที่ประตูโดยไม่สนใจศิษย์ใหม่เหล่านี้อีกเลย
บรรดาเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยเห็นดังนั้นต่างก็มองหน้ากันเลิกลั่กทำอะไม่ถูก แต่ด้วยความน่าเคารพของสถานที่ ทำให้ไม่มีใครกล้ากระซิบกระซาบอะไรออกมา ได้แต่ยืนรออยู่ที่เดิม
หลิ่วหมิงพินิจดูรอบโถงใหญ่ไปหนึ่งรอบ แล้วสายตาก็หยุดอยู่ตรงรูปวาดโบราณด้านหน้าโดยไม่รู้ตัว
รูปนี้ถูกแขวนอยู่ในที่อันทรงเกียรตินี้ บุคคลที่อยู่ในรูปวาดคงเป็นผู้ก่อตั้งนิกายปีศาจ แต่ว่าแค่ภาพด้านหลังเพียงภาพเดียวกลับเป็นเรื่องที่น่าแปลกประหลาดใจได้ถึงเพียงนี้
หลิ่วหมิงคิดฟุ้งซ่านได้ไม่นาน สักพักหนึ่งก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากประตูที่อยู่ด้านหลัง ศิษย์เสื้อเขียวหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นต่างก็รีบโค้งตัวลงแล้วพูดขึ้นพร้อมกัน
“คารวะท่านประมุขและอาจารย์อาทุกท่าน”
“ลุกขึ้นเถอะ” ประมุขนิกายเปล่งเสียงออกมาเบาๆ แล้วเดินนำเข้าไป นักปราชญ์กุย อาจารย์จิตวิญญาณเหลย และอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ก็เดินตามเข้ามา และผู้ที่เดินตามท้ายสุดก็คือเกาชง
ในตอนนี้อาจารย์จิตวิญญาณแต่ละท่านต่างก็ไม่มีรัศมีแสงหุ้มกายแล้ว เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของแต่ละคนออกมา
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็รีบคารวะอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้ประมุขนิกายกลับไม่บอกให้ศิษย์ใหม่เหล่านี้ลุกขึ้น แต่พาคนที่เดินตามไปยังหน้าโต๊ะบูชา หยิบธูปดอกหนึ่งแล้วจุดไฟ จากนั้นนำไปปักไว้ในกระถางสัมฤทธิ์ แล้วค่อยหันตัวกลับมาบอกให้ศิษย์ใหม่ทั้งหลายลุกขึ้น
“ข้ามีนามว่าหวงสือ เป็นประมุขนิกายปีศาจ เชื่อว่าพวกเจ้ากว่าครึ่งหนึ่งรู้จักข้าแล้ว คงไม่ต้องแนะนำตัวอีก ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าเปิดทะเลจิตวิญญาณได้แล้ว แค่ผ่านพิธีการคารวะบูรพาจารย์ผู้ก่อตั้งนิกาย จากนี้ไปพวกเจ้าทุกคนก็เป็นศิษย์ของนิกายที่แท้จริงแล้ว ผู้ที่อยู่ในภาพวาดนี้คือ ‘นักพรตลิ่วยิน’ บูรพาจารย์ผู้ก่อตั้งนิกาย หกในแปดสาขาของนิกายนี้ถูกถ่ายทอดจากท่านมาโดยตรง และป้ายวิญญาณที่ตั้งอยู่ด้านล่างคือผู้อาวุโสแต่ละรุ่นที่บรรลุเข้าสู่ผลึกจิตวิญญาณได้สำเร็จ ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีพวกเขาคอยปกป้องคุ้มครอง นิกายเราคงไม่สามารถอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ ตอนนี้พวกเจ้าแต่ละคนไปจุดธูปคารวะและบอกชื่อของตนเองให้กับผู้ก่อตั้งและผู้อาวุโสทั้งหลายซะ” ประมุขนิกายกล่าวด้วยความเลื่อมใส
“ผลึกจิตวิญญาณ? หรือว่าเหนือกว่าอาจารย์จิตวิญญาณยังมีผลึกจิตวิญญาณที่อยู่สูงกว่า”
หลิ่วหมิวเพิ่งเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรกเขารู้สึกใจเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เขาสวมรอยคนอื่นมาเป็นผู้ฝึกปราณ เขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับนิกายนี้น้อยมาก
ดูจากที่ศิษย์ส่วนใหญ่ยังคงมีสีหน้าปกติ กว่าครึ่งหนึ่งคงรู้เรื่องราวเหล่านี้อยู่ก่อนแล้ว
ในขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาอย่างเกาชงก็ได้คุกเข่าลงต่อหน้าโต๊ะบูชา และกล่าวออกมาอย่างนอบน้อม
“ศิษย์เกาชง วันนี้ได้มากราบมอบตัวเป็นศิษย์นิกาย ขอให้บูรพาจารย์ผู้ก่อตั้งนิกายและผู้อาวุโสทั้งหลายปกป้องคุ้มครองศิษย์ด้วย จากนี้เป็นต้นไป ศิษย์จะพยายามใช้กำลังที่มีอยู่ทั้งหมดทำให้นิกายของเราเจริญรุ่งเรืองอย่างถึงที่สุด”
จากนั้นเด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนหยิบธูปหนึ่งดอกมาจุดแล้วนำไปปักไว้ที่กระถางธูปยักษ์ แล้วค่อยเดินกลับมาที่เดิม
พอมีคนเริ่ม คนอื่นๆ ต่างก็ทยอยกันออกมาจุดธูปกราบมอบตัวเป็นศิษย์ คำพูดที่แต่ละคนกล่าวออกมาก็ไม่แตกต่างกันมากนัก
เมื่อศิษย์แต่ละคนกราบมอบตัวเป็นศิษย์เสร็จแล้ว ประมุขนิกายถึงเดินมาที่ด้านหน้าของศิษย์ทุกคนอีกครั้ง แล้วกล่าวด้วยท่าทีที่สงบ
“นิกายของเรามีข้อบัญญัติอยู่สามข้อใหญ่สามสิบหกข้อกฎเกณฑ์ ถ้าทำผิดกฎจะต้องถูกทำโทษสถานหนักคือทำลายเนื้อหนังมังสาดึงดูดวิญญาณ โทษสถานเบาคือผนึกพลังภายในแล้วไปรับโทษทัณฑ์อัสนีสายฟ้าฟาดที่หุบเขาวายุดำ รายละเอียดข้อบัญญัติและกฎเกณฑ์เหล่านี้จะมีคนมาอธิบายให้พวกเจ้าฟังอย่างละเอียดในภายหลัง พวกเจ้าจะต้องจัดการดูแลตัวเองให้ดี”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา