ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 20

สรุปบท ตอนที่ 20 สังกัดสาขา: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปตอน ตอนที่ 20 สังกัดสาขา – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

ตอน ตอนที่ 20 สังกัดสาขา ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ที่ตั้งของนิกายปีศาจมียอดเขาใหญ่เล็กสิบกว่าลูก แต่ในบรรดาเขาใหญ่เหล่านี้ต่างก็เป็นที่ตั้งของสาขาทั้งแปด มีแค่ยอดเขาที่ใหญ่สุดนั้นไม่ได้ตกเป็นของสาขาใด และบนยอดเขานั้นก็มีหอดำเนินการ หอเก็บคัมภีร์ ห้องปรุงโอสถ เป็นต้น แต่ละที่ล้วนเป็นสถานที่ที่สำคัญของนิกาย และมีศิษย์ผลัดเปลี่ยนเวรยามกันเฝ้าตลอดวันตลอดคืน

หอบูรพาจารย์เป็นสถานที่เซ่นไหว้บูรพาจารย์ของนิกายปีศาจ ดังนั้นจึงสร้างบนที่สูงกว่าหออื่นๆ

เมฆดำก้อนใหญ่ลอยลงมาตรงพื้นที่ราบกลางเขา ในบัดดลนั้น ศิษย์สวมชุดเขียวหลายคนเหาะมาจากห้องโถงที่อยู่ไม่ไกลออกไปด้วยความรวดเร็ว และคารวะมาทางอาจารย์จิตวิญญาณหญิงที่อยู่บนเมฆดำ

“คารวะอาจารย์อาหลี่ เรื่องในหอบูรพาจารย์ได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่รอท่านประมุขนิกายและอาจารย์จิตวิญญาณทุกท่านแล้ว”

“ดีมาก เจ้านำศิษย์ใหม่เหล่านี้เข้าไปก่อนเถอะ อีกสักครู่ท่านประมุขคงจะมาถึง” อาจารย์อาหลี่สั่ง

“รับทราบท่านอาจารย์อา” ศิษย์เสื้อเขียวเหล่านี้พยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็มุ่งตรงไปทางหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ จากนั้นก็พาศิษย์ใหม่เหล่านี้ไปยังโถงใหญ่

อาจารย์จิตวิญญาณหลี่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมสักครู่ จากนั้นก็ตัดสินใจยืนรอประมุขนิกายอยู่ด้านนอก

หลิ่วหมิงเบียดอยู่ในกลุ่มคน ตอนที่เดินไปยังประตูใหญ่ของห้องโถงก็กวาดสายตาดูไปด้วย

ด้านบนมีป้ายสีเงินยาวหลายจั้งแขวนอยู่ ที่ป้ายนั้นเขียนด้วยอักขระสีทองที่ค่อนข้างใหญ่ว่า “หอบูรพาจารย์” และมีประกายระยิบระยับ

พอเข้าไปในประตูใหญ่แล้ว ศิษย์จำนวนไม่น้อยต่างก็สูดเอาไอเย็นเข้าไปหนึ่งเฮือก

ดูจากภายนอกดูเหมือนจะเป็นหอที่สร้างขึ้นแบบธรรมดาๆ แต่ข้างในหอกลับสูงถึงสิบจั้งกว่าๆ เป็นห้องโถงที่มีขนาดใหญ่หลายสิบหมู่

ตรงกลางโถงทั้งสองข้างมีเก้าอี้สีดำเกือบร้อยตัวตั้งวางอยู่ ด้านในโถงมีรูปวาดโบราณขนาดยาวจั้งกว่าๆ แขวนอยู่

ในรูปนั้นมีภาพด้านหลังของนักพรตใส่เสื้อผ้าสีเขียวทั้งตัว บนศีรษะมีปิ่นเงินยาวหลายนิ้วปักอยู่ ที่หลังสะพายดาบไร้ฝักอยู่หนึ่งเล่ม เท้าทั้งสองเหยียบหัวปีศาจที่หน้าตาโหดร้ายน่ากลัวอยู่ตนหนึ่ง ข้างกายมีไอดำล้อมรอบอยู่สลัวๆ แลดูลึกลับซับซ้อนยิ่งนัก

ทางด้านล่างของรูปวาดนั้น มีโต๊ะบูชาสีเงินยาวห้าถึงหกจั้ง ทั้งสองด้านของโต๊ะมีเทียนที่จุดสว่างตั้งอยู่สองเล่ม ตรงกลางมีป้ายวิญญาณสีทองประมาณสิบห้าสิบหกอัน บนป้ายนั้นมีชื่อที่เขียนด้วยอักขระสีดำติดอยู่

และที่ด้านหน้าของโต๊ะบูชานี้มีกระถางธูปสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ ในกระถางธูปนั้นเต็มไปด้วยธูปหลายดอกที่ไหม้ไปแล้วกว่าครึ่งหนึ่งเสียบอยู่ด้วย ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกได้ถึงความเคร่งขรึมและน่าเคารพ

ศิษย์เสื้อเขียวเหล่านั้นพาศิษย์ใหม่ทั้งหลายเข้าไปยืนอยู่ในโถงแล้วก็กลับไปยืนอย่างสำรวมที่ประตูโดยไม่สนใจศิษย์ใหม่เหล่านี้อีกเลย

บรรดาเด็กหนุ่มและดรุณีน้อยเห็นดังนั้นต่างก็มองหน้ากันเลิกลั่กทำอะไม่ถูก แต่ด้วยความน่าเคารพของสถานที่ ทำให้ไม่มีใครกล้ากระซิบกระซาบอะไรออกมา ได้แต่ยืนรออยู่ที่เดิม

หลิ่วหมิงพินิจดูรอบโถงใหญ่ไปหนึ่งรอบ แล้วสายตาก็หยุดอยู่ตรงรูปวาดโบราณด้านหน้าโดยไม่รู้ตัว

รูปนี้ถูกแขวนอยู่ในที่อันทรงเกียรตินี้ บุคคลที่อยู่ในรูปวาดคงเป็นผู้ก่อตั้งนิกายปีศาจ แต่ว่าแค่ภาพด้านหลังเพียงภาพเดียวกลับเป็นเรื่องที่น่าแปลกประหลาดใจได้ถึงเพียงนี้

หลิ่วหมิงคิดฟุ้งซ่านได้ไม่นาน สักพักหนึ่งก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากประตูที่อยู่ด้านหลัง ศิษย์เสื้อเขียวหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นต่างก็รีบโค้งตัวลงแล้วพูดขึ้นพร้อมกัน

“คารวะท่านประมุขและอาจารย์อาทุกท่าน”

“ลุกขึ้นเถอะ” ประมุขนิกายเปล่งเสียงออกมาเบาๆ แล้วเดินนำเข้าไป นักปราชญ์กุย อาจารย์จิตวิญญาณเหลย และอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ก็เดินตามเข้ามา และผู้ที่เดินตามท้ายสุดก็คือเกาชง

ในตอนนี้อาจารย์จิตวิญญาณแต่ละท่านต่างก็ไม่มีรัศมีแสงหุ้มกายแล้ว เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของแต่ละคนออกมา

หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็รีบคารวะอย่างรวดเร็ว

ครั้งนี้ประมุขนิกายกลับไม่บอกให้ศิษย์ใหม่เหล่านี้ลุกขึ้น แต่พาคนที่เดินตามไปยังหน้าโต๊ะบูชา หยิบธูปดอกหนึ่งแล้วจุดไฟ จากนั้นนำไปปักไว้ในกระถางสัมฤทธิ์ แล้วค่อยหันตัวกลับมาบอกให้ศิษย์ใหม่ทั้งหลายลุกขึ้น

“ข้ามีนามว่าหวงสือ เป็นประมุขนิกายปีศาจ เชื่อว่าพวกเจ้ากว่าครึ่งหนึ่งรู้จักข้าแล้ว คงไม่ต้องแนะนำตัวอีก ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าเปิดทะเลจิตวิญญาณได้แล้ว แค่ผ่านพิธีการคารวะบูรพาจารย์ผู้ก่อตั้งนิกาย จากนี้ไปพวกเจ้าทุกคนก็เป็นศิษย์ของนิกายที่แท้จริงแล้ว ผู้ที่อยู่ในภาพวาดนี้คือ ‘นักพรตลิ่วยิน’ บูรพาจารย์ผู้ก่อตั้งนิกาย หกในแปดสาขาของนิกายนี้ถูกถ่ายทอดจากท่านมาโดยตรง และป้ายวิญญาณที่ตั้งอยู่ด้านล่างคือผู้อาวุโสแต่ละรุ่นที่บรรลุเข้าสู่ผลึกจิตวิญญาณได้สำเร็จ ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีพวกเขาคอยปกป้องคุ้มครอง นิกายเราคงไม่สามารถอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ ตอนนี้พวกเจ้าแต่ละคนไปจุดธูปคารวะและบอกชื่อของตนเองให้กับผู้ก่อตั้งและผู้อาวุโสทั้งหลายซะ” ประมุขนิกายกล่าวด้วยความเลื่อมใส

“ผลึกจิตวิญญาณ? หรือว่าเหนือกว่าอาจารย์จิตวิญญาณยังมีผลึกจิตวิญญาณที่อยู่สูงกว่า”

หลิ่วหมิวเพิ่งเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรกเขารู้สึกใจเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เขาสวมรอยคนอื่นมาเป็นผู้ฝึกปราณ เขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับนิกายนี้น้อยมาก

ดูจากที่ศิษย์ส่วนใหญ่ยังคงมีสีหน้าปกติ กว่าครึ่งหนึ่งคงรู้เรื่องราวเหล่านี้อยู่ก่อนแล้ว

ในขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาอย่างเกาชงก็ได้คุกเข่าลงต่อหน้าโต๊ะบูชา และกล่าวออกมาอย่างนอบน้อม

“ศิษย์เกาชง วันนี้ได้มากราบมอบตัวเป็นศิษย์นิกาย ขอให้บูรพาจารย์ผู้ก่อตั้งนิกายและผู้อาวุโสทั้งหลายปกป้องคุ้มครองศิษย์ด้วย จากนี้เป็นต้นไป ศิษย์จะพยายามใช้กำลังที่มีอยู่ทั้งหมดทำให้นิกายของเราเจริญรุ่งเรืองอย่างถึงที่สุด”

จากนั้นเด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนหยิบธูปหนึ่งดอกมาจุดแล้วนำไปปักไว้ที่กระถางธูปยักษ์ แล้วค่อยเดินกลับมาที่เดิม

พอมีคนเริ่ม คนอื่นๆ ต่างก็ทยอยกันออกมาจุดธูปกราบมอบตัวเป็นศิษย์ คำพูดที่แต่ละคนกล่าวออกมาก็ไม่แตกต่างกันมากนัก

เมื่อศิษย์แต่ละคนกราบมอบตัวเป็นศิษย์เสร็จแล้ว ประมุขนิกายถึงเดินมาที่ด้านหน้าของศิษย์ทุกคนอีกครั้ง แล้วกล่าวด้วยท่าทีที่สงบ

“นิกายของเรามีข้อบัญญัติอยู่สามข้อใหญ่สามสิบหกข้อกฎเกณฑ์ ถ้าทำผิดกฎจะต้องถูกทำโทษสถานหนักคือทำลายเนื้อหนังมังสาดึงดูดวิญญาณ โทษสถานเบาคือผนึกพลังภายในแล้วไปรับโทษทัณฑ์อัสนีสายฟ้าฟาดที่หุบเขาวายุดำ รายละเอียดข้อบัญญัติและกฎเกณฑ์เหล่านี้จะมีคนมาอธิบายให้พวกเจ้าฟังอย่างละเอียดในภายหลัง พวกเจ้าจะต้องจัดการดูแลตัวเองให้ดี”

หลิ่วหมิงจ้องมองดรุณีน้อยนางนั้น แล้วนึกถึงปีศาจสาวก่อนหน้านั้นที่ปรากฏกายตรงลานกว้างได้ไม่นานแล้วก็หายไป

“เหลยเจิ้น เจ้ายังรออะไรอีก รีบมาหาข้า” อาจารย์จิตวิญญาณเหลยส่งสายตามองไปยังเหลยเจิ้นที่อยู่ในกลุ่ม แล้วตะโกนเรียกออกไปโดยที่เขาไม่ขยับตัวเลย

เหลยเจิ้นกรอกตาไปมาดูเหมือนไม่ค่อยเต็มใจ แต่ก็เดินออกไปอย่างไม่มีทางเลี่ยง

สาขาของนิกายปีศาจทั้งแปดสาขาต่างก็ผลัดกันเลือกลูกศิษย์ครั้งละคนแบบนี้ไปเรื่อยๆ ครู่เดียวศิษย์แปดคนที่มีความสามารถยอดเยี่ยมที่สุดก็โดนเลือกออกไป

นักปราชญ์กุยได้แต่จำใจเลือกศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณผู้หนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดูเหมือนนี่จะเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ประมุขนิกายเอามาแลก

สำหรับผู้นำสาขาเก้าทารกแล้ว ถ้าหากว่าเมื่อก่อนสามารถรับศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณได้ มันจะต้องควรค่าแก่การฉลองอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ได้สูญเสียศิษย์ชีพจรพสุธาที่เดิมควรจะเป็นของสาขาตนเองไป ย่อมไม่รู้สึกดีใจเป็นธรรมดา

และสาขาอื่นก็เลือกศิษย์ที่มีเก้าชีพจรจิตวิญญาณที่เหลืออยู่เช่นกัน

ในรอบที่สอง แต่ละสาขาต่างก็เลือกได้แค่ศิษย์หกชีพจรจิตวิญญาณกับศิษย์ที่มีพรสวรรค์บางด้านเท่านั้น

ศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณอย่างหลิ่วหมิง ย่อมไม่ถูกเลือกในรอบก่อนหน้านั้น

แต่เมื่อศิษย์หกชีพจรจิตวิญญาณถูกเลือกหมดแล้ว ในที่สุดก็มีคนสังเกตเห็นหลิ่วหมิง

ศิษย์น้องหลินแห่งสาขาระบำปีศาจผู้นั้น มีนามว่าหลินไฉอวี่ เป็นหญิงสาวสวยที่ดูเหมือนจะอายุยี่สิบกว่าปี ตอนที่สายตากวาดไปยังหลิ่วหมิง ในที่สุดก็นึกถึงเรื่องที่ประมุขนิกายเคยกล่าวไว้เขามีความสามารถในการควบคุมจิตเหนือกว่าคนธรรมดาเป็นอย่างมาก

สาขาระบำปีศาจของพวกเขาค่อนข้างมีความสามารถด้านการใช้ภาพลวงตาเพ้อฝัน และกำลังต้องการศิษย์ที่พลังมีจิตแข็งแกร่งพอดี

ดังนั้นเมื่อนางขบคิดได้ ก็กะว่าเมื่อถึงตาของตนเองนางจะเลือกหลิ่วหมิงมาเป็นศิษย์

และหลังจากที่ประมุขนิกายได้ศิษย์ที่มีชีพจรจิตวิญญาณพสุธาอย่างเกาชงแล้ว ก็ใส่ใจแต่เกาชง ไหนเลยจะจำศิษย์บางคนที่ตัวเองเคยเอ่ยถึงได้

แต่ว่าเพียงครู่เดียว เรื่องราวที่เหนือความคาดหมายของศิษย์น้องหลินก็บังเกิดขึ้น

“อืม เจ้าชื่อไป๋ชงเทียนสินะ เจ้าจะยินยอมเข้านิกายเก้าทารกของเราหรือไม่?” เมื่อถึงตาของนักปราชญ์กุยเขาก็เลือกหลิ่วหมิง และดูเหมือนจะถามออกไปแบบไม่ใส่ใจ

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา