“ข้าน้อยยินดี!” หลิ่วหมิงย่อมไม่กล้าปฏิเสธอาจารย์จิตวิญญาณท่านนี้ ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะกล่าวออกมาแบบไม่ใส่ใจก็ตาม
“ดี งั้นเจ้าก็มายืนทางนี้เถอะ” นักปราชญ์กุยกล่าวกำชับออกมา
ตอนนี้นอกจาก ‘เซียวเฟิง’ ที่มีเก้าชีพจรจิตวิญญาณที่ยืนอยู่ที่นั่นแล้ว ยังมีเด็กหนุ่มผมแดงที่เป็นผู้ฝึกปราณอิสระนามว่าอวี๋เฉิงอยู่ด้วย
แต่ว่าการแสดงออกทางทั้งสองแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เซียวเฟิงมีสีหน้ากลัดกลุ้ม แต่อวี๋เฉิงกลับส่งยิ้มมาให้หลิ่วหมิงด้วยเจตนาที่ดี
เนื่องจากหอบูรพาจารย์เป็นสถานที่เซ่นไหว้บูรพาจารย์ของนิกายปีศาจ ดังนั้นจึงสร้างบนที่สูงกว่าหออื่นๆ
หลินไฉอวี่เห็นหลิ่วหมิงถูกนักปราชญ์กุยเลือกไปก่อนแล้ว ก็เกิดความลังเลใจขึ้นอย่างอดไม่ได้
ถ้าหากเป็นสาขาอื่น ขอแค่นางเอ่ยปากว่าต้องการ ฝั่งตรงข้ามย่อมไม่ปฏิเสธความต้องการของนางแน่ แต่ความสัมพันธ์ของสาขาเก้าทารกกับสาขาอื่นๆ ไม่นับว่าดีสักเท่าไหร่ ทั้งยังเสียศิษย์ชีพจรพสุธาไปอีก ถ้านางเสนอเรื่องแลกเปลี่ยนศิษย์ล่ะก็อาจโดนฝ่ายตรงข้ามคิดว่าหาเรื่องทะเลาะก็เป็นได้
“ช่างมันเถอะ!”
ศิษย์น้องหลินชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
อย่างไงไป๋ชงเทียนผู้นี้ก็มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ มันไม่คุ้มที่จะล่วงละเมิดอาจารย์จิตวิญญาณท่านนั้นและทำให้ท่านโมโห
ในที่สุดผู้นำสาขาระบำปีศาจผู้นี้ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป เมื่อถึงตาของตนเองก็เลือกศิษย์สามชีพจรอื่นๆ อย่างไม่ใส่ใจ
พริบตาเดียว ศิษย์กว่าสิบคนต่างก็ถูกแต่ละสาขาเลือกไปจนหมด ผู้นำแต่ละสาขาต่างก็นำศิษย์ที่ตนเองเลือกกลับไปยังสาขาของตนเอง
ด้วยวิชาของนักปราชญ์กุย หลิ่วหมิงและพวกก็ถูกกลุ่มเมฆสีเทาก้อนหนึ่งพาเหาะไปยังยอดเขาลูกหนึ่งที่อยู่บริเวณรอบๆ กลุ่มยอดเขาอื่นๆ
ยอดเขาลูกนี้ก็คือเขาเก้าทารก ซึ่งเป็นที่ตั้งของสาขาเก้าทารกนั่นเอง แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งก่อสร้างบนเขาไม่สามารถเทียบได้กับยอดเขาอื่นๆ โดยเฉพาะที่ตรงปลายยอดเขา เมื่อมองจากที่ไกลๆ ก็เห็นสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดสูงใหญ่อยู่สิบกว่าแห่งเท่านั้น
หลังจากที่เมฆสีเทาหายไปในฉับพลัน หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ก็ลงมาสู่ลานเล็กๆ หน้าหอใหญ่แห่งหนึ่ง
ที่นั่นมีศิษย์ของสาขาเก้าทารกที่สวมใส่เสื้อเขียวปรากฏกายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ยืนรอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว
และที่ด้านหน้าของศิษย์เหล่านี้ ก็มีชายหนุ่ม ผมเผ้ายุ่งเหยิงผู้หนึ่ง ที่เอวห้อยน้ำเต้าสีแดงอยู่หนึ่งลูก อายุประมาณสามสิบกว่าปี เมื่อเขาเห็นนักปราชญ์กุยกับหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ สายตาทั้งสองของเขาก็ประกายแสงแสดงการต้อนรับออกมา
“เป็นอย่างไรบ้างศิษย์พี่ ข้าได้ยินมาว่าพิธีเปิดจิตวิญญาณในครั้งนี้ มีศิษย์ผู้ฝึกปราณอิสระสามารถเปิดชีพจรจิตวิญญาณพสุธาขึ้นมาได้ ท่านได้นำกลับมาด้วยหรือไม่
“ศิษย์น้องคิดว่า ศิษย์ที่มีคุณสมบัติขนาดนี้ สาขาของของท่านประมุขนิกายจะยอมปล่อยให้กับเราหรือ! แต่ว่าครั้งนี้ก็ไม่เลวกลับได้ศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณกลับมาผู้หนึ่ง พวกเจ้ามานี่ นี่คือจูชื่อ อาจารย์อาของพวกเจ้า มากราบคารวะซะ” หลังจากที่นักปราชญ์กุยฝืนยิ้มอย่างขมขื่นแล้วก็หันหน้าไปกล่าวกับศิษย์ที่มาใหม่
“คารวะอาจารย์อาจู!” หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ไม่กล้าเมินเฉย รีบเดินออกมากล่าวทำความเคารพ
“ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถอะ พูดแบบนี้แสดงว่าศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาผู้นั้นถูกสาขาของประมุขนิกายนำไปแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับศิษย์ที่มีคุณสมบัติขนาดนี้ ถ้าศิษย์พี่ท่านประมุขยอมให้สาขาของเราถึงนับว่าเป็นเรื่องแปลก” เมื่อจูชื่อได้ยินดังนั้นก็โบกมือก่อนที่จะแสดงสีหน้าอึมครึมออกมา
“สถานที่นี้ไม่เหมาะกับการพูดคุย เข้ามาข้างในก่อนแล้วค่อยคุยกันเถอะ” นักปราชญ์กุยไม่ได้กล่าวต่อ กลับเปลี่ยนเรื่องพูด
จูชื่อย่อมไม่กล้าโต้แย้ง เขาเดินตามหลังนักปราชญ์กุยเข้าไปในหอทันที ศิษย์คนอื่นก็รีบพากันเดินตามเข้าไป
ศิษย์ใหม่และศิษย์เก่าของสาขาเก้าทารก ต่างก็แบ่งแยกเป็นสองกลุ่ม และต่างก็ประเมินกันและกันโดยสัญชาตญาณ
หลิ่วหมิงพินิจดูศิษย์เก่าสิบกว่าคนด้วยความแปลกใจ
ศิษย์เหล่านี้มีชายหญิงอย่างละครึ่ง อายุประมาณสิบแปดปีและยี่สิบกว่าปี ผู้ที่อายุมากที่สุดคือชายสีหน้าหนักแน่น อายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี ทำให้ผู้ที่เห็นสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่หนักแน่นและมั่นคงบนตัวเขา
ชายผู้นี้สัมผัสได้ว่าหลิ่วหมิงกำลังจ้องมองเขาอยู่ เขายิ้มตอบกลับมาให้
หลิ่วหมิงจึงยิ้มรับกลับไปด้วยไมตรี
ศิษย์คนอื่นๆ ที่ดึงดูดให้เขาสนใจคือศิษย์หญิงสองนาง
นางหนึ่งมีใบหน้ารูปไข่ สีผิวขาวบริสุทธิ์ รูปร่างสูงเพรียว ทำให้ผู้ที่พบเห็นสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนเป็นพิเศษ หญิงอีกนางหนึ่งขนคิ้วดกดำยาวไปถึงจอนผม ดวงตาใสเหมือนน้ำ รูปร่างอวบอ้วนเป็นพิเศษ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา