ตอน ตอนที่ 21 ศิษย์ในนาม จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 21 ศิษย์ในนาม คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
“ข้าน้อยยินดี!” หลิ่วหมิงย่อมไม่กล้าปฏิเสธอาจารย์จิตวิญญาณท่านนี้ ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะกล่าวออกมาแบบไม่ใส่ใจก็ตาม
“ดี งั้นเจ้าก็มายืนทางนี้เถอะ” นักปราชญ์กุยกล่าวกำชับออกมา
ตอนนี้นอกจาก ‘เซียวเฟิง’ ที่มีเก้าชีพจรจิตวิญญาณที่ยืนอยู่ที่นั่นแล้ว ยังมีเด็กหนุ่มผมแดงที่เป็นผู้ฝึกปราณอิสระนามว่าอวี๋เฉิงอยู่ด้วย
แต่ว่าการแสดงออกทางทั้งสองแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เซียวเฟิงมีสีหน้ากลัดกลุ้ม แต่อวี๋เฉิงกลับส่งยิ้มมาให้หลิ่วหมิงด้วยเจตนาที่ดี
เนื่องจากหอบูรพาจารย์เป็นสถานที่เซ่นไหว้บูรพาจารย์ของนิกายปีศาจ ดังนั้นจึงสร้างบนที่สูงกว่าหออื่นๆ
หลินไฉอวี่เห็นหลิ่วหมิงถูกนักปราชญ์กุยเลือกไปก่อนแล้ว ก็เกิดความลังเลใจขึ้นอย่างอดไม่ได้
ถ้าหากเป็นสาขาอื่น ขอแค่นางเอ่ยปากว่าต้องการ ฝั่งตรงข้ามย่อมไม่ปฏิเสธความต้องการของนางแน่ แต่ความสัมพันธ์ของสาขาเก้าทารกกับสาขาอื่นๆ ไม่นับว่าดีสักเท่าไหร่ ทั้งยังเสียศิษย์ชีพจรพสุธาไปอีก ถ้านางเสนอเรื่องแลกเปลี่ยนศิษย์ล่ะก็อาจโดนฝ่ายตรงข้ามคิดว่าหาเรื่องทะเลาะก็เป็นได้
“ช่างมันเถอะ!”
ศิษย์น้องหลินชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
อย่างไงไป๋ชงเทียนผู้นี้ก็มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ มันไม่คุ้มที่จะล่วงละเมิดอาจารย์จิตวิญญาณท่านนั้นและทำให้ท่านโมโห
ในที่สุดผู้นำสาขาระบำปีศาจผู้นี้ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป เมื่อถึงตาของตนเองก็เลือกศิษย์สามชีพจรอื่นๆ อย่างไม่ใส่ใจ
พริบตาเดียว ศิษย์กว่าสิบคนต่างก็ถูกแต่ละสาขาเลือกไปจนหมด ผู้นำแต่ละสาขาต่างก็นำศิษย์ที่ตนเองเลือกกลับไปยังสาขาของตนเอง
ด้วยวิชาของนักปราชญ์กุย หลิ่วหมิงและพวกก็ถูกกลุ่มเมฆสีเทาก้อนหนึ่งพาเหาะไปยังยอดเขาลูกหนึ่งที่อยู่บริเวณรอบๆ กลุ่มยอดเขาอื่นๆ
ยอดเขาลูกนี้ก็คือเขาเก้าทารก ซึ่งเป็นที่ตั้งของสาขาเก้าทารกนั่นเอง แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งก่อสร้างบนเขาไม่สามารถเทียบได้กับยอดเขาอื่นๆ โดยเฉพาะที่ตรงปลายยอดเขา เมื่อมองจากที่ไกลๆ ก็เห็นสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดสูงใหญ่อยู่สิบกว่าแห่งเท่านั้น
หลังจากที่เมฆสีเทาหายไปในฉับพลัน หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ก็ลงมาสู่ลานเล็กๆ หน้าหอใหญ่แห่งหนึ่ง
ที่นั่นมีศิษย์ของสาขาเก้าทารกที่สวมใส่เสื้อเขียวปรากฏกายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ยืนรอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว
และที่ด้านหน้าของศิษย์เหล่านี้ ก็มีชายหนุ่ม ผมเผ้ายุ่งเหยิงผู้หนึ่ง ที่เอวห้อยน้ำเต้าสีแดงอยู่หนึ่งลูก อายุประมาณสามสิบกว่าปี เมื่อเขาเห็นนักปราชญ์กุยกับหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ สายตาทั้งสองของเขาก็ประกายแสงแสดงการต้อนรับออกมา
“เป็นอย่างไรบ้างศิษย์พี่ ข้าได้ยินมาว่าพิธีเปิดจิตวิญญาณในครั้งนี้ มีศิษย์ผู้ฝึกปราณอิสระสามารถเปิดชีพจรจิตวิญญาณพสุธาขึ้นมาได้ ท่านได้นำกลับมาด้วยหรือไม่
“ศิษย์น้องคิดว่า ศิษย์ที่มีคุณสมบัติขนาดนี้ สาขาของของท่านประมุขนิกายจะยอมปล่อยให้กับเราหรือ! แต่ว่าครั้งนี้ก็ไม่เลวกลับได้ศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณกลับมาผู้หนึ่ง พวกเจ้ามานี่ นี่คือจูชื่อ อาจารย์อาของพวกเจ้า มากราบคารวะซะ” หลังจากที่นักปราชญ์กุยฝืนยิ้มอย่างขมขื่นแล้วก็หันหน้าไปกล่าวกับศิษย์ที่มาใหม่
“คารวะอาจารย์อาจู!” หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ไม่กล้าเมินเฉย รีบเดินออกมากล่าวทำความเคารพ
“ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถอะ พูดแบบนี้แสดงว่าศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาผู้นั้นถูกสาขาของประมุขนิกายนำไปแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับศิษย์ที่มีคุณสมบัติขนาดนี้ ถ้าศิษย์พี่ท่านประมุขยอมให้สาขาของเราถึงนับว่าเป็นเรื่องแปลก” เมื่อจูชื่อได้ยินดังนั้นก็โบกมือก่อนที่จะแสดงสีหน้าอึมครึมออกมา
“สถานที่นี้ไม่เหมาะกับการพูดคุย เข้ามาข้างในก่อนแล้วค่อยคุยกันเถอะ” นักปราชญ์กุยไม่ได้กล่าวต่อ กลับเปลี่ยนเรื่องพูด
จูชื่อย่อมไม่กล้าโต้แย้ง เขาเดินตามหลังนักปราชญ์กุยเข้าไปในหอทันที ศิษย์คนอื่นก็รีบพากันเดินตามเข้าไป
ศิษย์ใหม่และศิษย์เก่าของสาขาเก้าทารก ต่างก็แบ่งแยกเป็นสองกลุ่ม และต่างก็ประเมินกันและกันโดยสัญชาตญาณ
หลิ่วหมิงพินิจดูศิษย์เก่าสิบกว่าคนด้วยความแปลกใจ
ศิษย์เหล่านี้มีชายหญิงอย่างละครึ่ง อายุประมาณสิบแปดปีและยี่สิบกว่าปี ผู้ที่อายุมากที่สุดคือชายสีหน้าหนักแน่น อายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี ทำให้ผู้ที่เห็นสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่หนักแน่นและมั่นคงบนตัวเขา
ชายผู้นี้สัมผัสได้ว่าหลิ่วหมิงกำลังจ้องมองเขาอยู่ เขายิ้มตอบกลับมาให้
หลิ่วหมิงจึงยิ้มรับกลับไปด้วยไมตรี
ศิษย์คนอื่นๆ ที่ดึงดูดให้เขาสนใจคือศิษย์หญิงสองนาง
นางหนึ่งมีใบหน้ารูปไข่ สีผิวขาวบริสุทธิ์ รูปร่างสูงเพรียว ทำให้ผู้ที่พบเห็นสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนเป็นพิเศษ หญิงอีกนางหนึ่งขนคิ้วดกดำยาวไปถึงจอนผม ดวงตาใสเหมือนน้ำ รูปร่างอวบอ้วนเป็นพิเศษ
“ศิษย์น้องทั้งสามตามข้ามา ข้าจะจัดที่พักให้กับพวกเจ้า จากนั้นค่อยไปหอดำเนินการก็แล้วกัน ใช่สิ ข้ายังไม่ทราบชื่อของพวกเจ้าทั้งสามเลย!” หลังจากที่สือชวนพาทั้งสามออกจากประตูใหญ่แล้ว ก็ถามกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่เกรงใจเกินไปแล้ว ศิษย์น้องนามว่าไป๋ชงเทียน!”
“เซวียซาน”
“วั่นเสี่ยวเชี่ยน”
หลิ่วหมิงและเด็กหนุ่มกับดรุณีน้อยทั้งสองคน รีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
เซวียซานรูปร่างค่อนข้างกำยำ ใบหน้าดำคล้ำ วั่นเสี่ยวเชี่ยนถึงแม้จะไม่นับว่าเป็นหญิงงาม แต่ระหว่างคิ้วของเธอได้ปรากฏแววความหนักแน่นหญิงแกร่งอยู่
“ที่แท้ก็คือศิษย์น้องไป๋ ศิษย์น้องเซวีย และศิษย์น้องวั่น ศิษย์สาขาของเรามีทั้งหมดแค่สิบกว่าคน เทียบกับสาขาทั้งเจ็ดที่มีหลายร้อยคนแล้วถือว่าน้อยมาก นอกจากนี้กฎระเบียบของนิกายยังไม่ให้ศิษย์พี่ที่อายุเกินสามสิบปีอาศัยอยู่บนเขา จะต้องไปหาถ้ำสถิตของตัวเองที่อื่น ดังนั้นศิษย์ที่พำนักอยู่บนเขาจึงมีไม่มาก ศิษย์น้องไป๋พวกเจ้ารีบหาที่พักที่เหมาะสม นี่ก็นับว่าเป็นสิ่งพิเศษเพียงไม่กี่อย่างที่ทางสาขาเราสามารถมอบให้ได้” สือชวนกล่าวแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
“ฟังจากน้ำเสียงของศิษย์พี่แล้ว หรือว่าการเลือกสถานที่พักยังมีอะไรที่ต้องศึกษากันอย่างถี่ถ้วนหรือ?” พอหลิ่วหมิงได้ยินคำพูดแบบนี้ ก็ถามกลับไปในทันที
เซวียซานและวั่นเสี่ยวเชี่ยนก็มองอย่างอดสงสัยไม่ได้
“ศิษย์น้องไป๋นับว่าเป็นคนฉลาด ปกติแล้วสถานที่ฝึกฝนยิ่งมีพลังฟ้าดินดินเข้มข้น ก็ยิ่งได้ผลมาก สถานที่พักเหล่านี้ถึงแม้จะสร้างอยู่ในสถานที่เดียวกัน แต่ยังมีความแตกต่างกันเล็กน้อย วิชาที่ศิษย์แต่ละคนเลือกฝึกไม่เหมือนกัน สถานที่พักก็ย่อมมีความเหมาะแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น คนฝึกวิชาที่มีหยางเป็นองค์ประกอบ ย่อมเลือกสถานที่พักที่สามารถรับแสงแดดได้ตลอดวัน และถ้าฝึกวิชาที่มีหยินเป็นองค์ประกอบก็จะเลือกตรงข้ามกัน จนแทบจะสร้างที่พักไว้ใต้ดินด้วยซ้ำ เพื่อที่จะให้เวลาทั้งวันทั้งคืนนั้นหนีห่างจากแสงตะวัน แบบนี้ผลลัพธ์ของการฝึกฝนถึงจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ” สือชวนอธิบาย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!” พวกหลิ่วหมิงทั้งสามเข้าใจในทันที
“แต่ว่าศิษย์น้องทั้งสามเพิ่งจะเริ่มฝึก ยังไม่ต้องคิดถึงเรื่องเหล่านี้ แค่พักอยู่ในที่มีพลังเข้มข้นสักหน่อย ความเร็วในการฝึกฝนก็จะก้าวหน้าเร็วกว่าปกติเล็กน้อย” สือชวนกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“ขอบคุณศิษย์พี่สือที่ชี้แนะ!” เซวียนตอบกลับด้วยความซาบซึ้ง
“ฮ่าๆ ต่อไปก็เป็นศิษย์ร่วมนิกายแล้ว ศิษย์น้องทั้งสามไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้หรอก สาขาเราถึงแม้จะอ่อนแอกว่าสาขาอื่น แต่ก็รักใคร่กลมเกลียวกัน ดีกว่าสาขาอื่นที่ต้องมีเรื่องให้วุ่นวายใจกันตลอดเวลา พวกเจ้าเข้ามาสาขาของเราแล้ว ขอแค่ตั้งใจฝึกฝนก็พอ เอาล่ะ ต่อไปข้าจะพาพวกเจ้าไปดูที่พักกันก่อน ถ้าหากถูกใจที่ไหนก็บอกข้าได้เลย” พอสือชวนเดินมาถึงลานเมฆาก็ทำท่ามือร่ายคาถาขึ้นมา
……………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา