ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 22

สรุปบท ตอนที่ 22 หอดำเนินการ: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปตอน ตอนที่ 22 หอดำเนินการ – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

ตอน ตอนที่ 22 หอดำเนินการ ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

เมฆสีเทาก้อนใหญ่ขนาดกว้างจั้งกว่าๆ ค่อยๆ รวมตัวขึ้นที่ด้านหน้าของทั้งสี่

สือชวนกวักมือเรียกทั้งสาม แล้วก็พาหลิ่วหมิงและพวกขึ้นไปบนก้อนเมฆนั้น จากนั้นก็เหาะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

หลิ่วหมิงที่อยู่บนก้อนเมฆรู้สึกได้ถึงก้อนเมฆที่เหยียบอยู่ค่อนข้างบางนิ่ม ไม่หนาแน่นเหมือนกับเมฆดำของอาจารย์จิตวิญญาณหลี่ ทั้งการควบคุมเมฆของสือชวนยังไม่นับว่าเร็วมาก นอกจากสามารถเหาะได้สูงสักหน่อยแล้ว ระดับความเร็วก็ไม่ได้เร็วไปกว่ากับการวิ่งด้วยเท้าของตนเองก่อนที่มาเป็นศิษย์จิตวิญญาณ

“ศิษย์พี่สือ ข้าเห็นศิษย์พี่ในนิกายแต่ละคนสามารถขี่เมฆบังคับหมอกได้ ไม่ทราบว่านี่คือวิชาอะไร ระดับความเร็วที่เร็วที่สุดคือระดับใด?” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

“ศิษย์น้องไป๋ ที่เจ้ากล่าวถึงคือวิชาทะยานฟ้าหรือเปล่า นี่เป็นแค่วิชาง่ายๆ วิชาหนึ่ง แค่ศิษย์น้องรวบรวมพลังภายในให้กลายเป็นพลังเวทย์ก็สามารถแสดงวิชานี้ได้แล้ว สำหรับความเร็วน่ะเหรอ ถ้าต้องการเหาะไปในที่ใกล้ๆ ย่อมช้าเป็นธรรมดา ถ้าหากไปที่ไกลๆ หน่อยล่ะก็ ทางที่ดีที่สุดควรใช้วิธีอื่น” สือชวนกล่าวแบบไม่ต้องครุ่นคิด

“ฟังจากน้ำเสียงของศิษย์พี่แล้ว วิชาที่ใช้ในการเหาะยังมีอีกหลายวิชาใช่ไหม?” ดวงตาทั้งคู่ของหลิ่วหมิงเปล่งประกายออกมา

“แน่นอนล่ะ ถ้าหากอยากจะเหาะได้ นอกจากวิชาทะยานฟ้าแล้ว ยังมีมีวิชาอื่นๆ อีกสองสามวิชา แต่ว่าวิธีการเหล่านี้ถ้าไม่ใช้ยันต์ เช่น ‘ยันต์ขั้นเทพ’ ซึ่งเป็นอาวุธจิตวิญญาณที่ประดิษฐ์มาโดยเฉพาะเข้าช่วย ก็ต้องใช้วิชาบางอย่างฝึกฝนจนถึงระดับหนึ่ง ถึงจะแสดงวิชาหลบหลีกขั้นเทพได้ ก็เหมือนกับกระบี่บินที่ทุกคนต่างก็รู้จัก ที่จริงแล้วฝึกกระบี่ก็มีการใช้วิชาหลบหลีกขั้นเทพด้วย แต่ว่าจะง่ายกว่าวิธีแรกหน่อย ขอแค่ศิษย์น้องฝึกฝนจนถึงขั้นกลางของศิษย์จิตวิญญาณ ก็มีพลังพอที่จะสามารถปลุกยันต์แบบง่ายๆ ได้แล้ว พอถึงขั้นสูงของศิษย์จิตวิญญาณก็จะมีพลังกระตุ้นอานุภาพของอาวุธจิตวิญญาณได้หนึ่งอย่าง สำหรับวิธีที่สองน่ะเหรอ ตอนนี้ไม่ต้องคิดฝันไป แม้แต่อาจารย์จิตวิญญาณในนิกายก็มีไม่กี่คนที่สามารถใช้วิชาหลบหลีกขั้นเทพนี้ได้” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว สือชวนก็กล่าวออกมา

“อาวุธจิตวิญญาณคืออะไร เหมือนกันกับอาวุธอาญาสิทธิ์หรือไม่?” หลิ่วหมิงถามขึ้นอีกครั้ง

“เฮ่อๆ ไม่เหมือนอย่างแน่นอน อานุภาพของสองสิ่งนี้ต่างกันราวฟ้ากับดิน และอาวุธจิตวิญญาณเมื่อผ่านการหลอมบูชาแล้ว สามารถบังคับให้มีขนาดเล็กใหญ่ได้ตามใจชอบ ทั้งสองนี้ไม่สามารถนำมาเทียบกันได้ แต่ว่าอาวุธจิตวิญญาณนี้หายากมาก นอกจากอาจารย์วิญญาณเหล่านั้นแล้ว ศิษย์จิตวิญญาณที่มีสิ่งของแบบนี้อยู่นั้นก็มีน้อยถึงน้อยมาก สาขาของเรานอกจากศิษย์น้องจูที่มีอาวุธจิตวิญญาณชิ้นหนึ่งไว้ป้องกันกายแล้ว ศิษย์คนอื่นๆ ล้วนใช้แค่อาวุธอาญาสิทธิ์เท่านั้น”

“ศิษย์น้องจู?”

“ก็คือลูกสาวคนเดียวของอาจารย์อาจู ก่อนหน้านั้นเจ้าคงได้เจอเมื่อตอนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่แล้ว”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ขอบคุณศิษย์พี่ที่ชี้แนะ” หลิ่วหมิงนึกได้อย่างฉับพลัน ในใจปรากฏภาพของหญิงสาวผู้งดงามทั้งสองคนนั้น

“ศิษย์พี่สือ ไม่ทราบว่าวิชาของสาขาเรากับสาขาอื่นๆ เหมือนกันหรือไม่ มีวิชาให้เลือกเรียนหลายวิชาไหม? ในเมื่ออาจารย์กุยไม่สามารถถ่ายทอดได้ด้วยตนเอง ข้าจะสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาเหล่านี้ได้จากที่ใด?” หญิงสาวที่นามว่าวั่นเสี่ยวเชี่ยนก็ถามขึ้นมาบ้าง

“ถ้าศิษย์น้องอยากฝึกวิชาพื้นฐานล่ะก็ สามารถไปเรียนได้ที่หอเก็บคัมภีร์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นิกายปีศาจของเรามีวิชาพื้นฐานทั้งหมดสิบสามวิชา ศิษย์ทุกคนสามารถฝึกได้อย่างไม่มีข้อจำกัด แต่ในเมื่อในนิกายของเราแบ่งแยกเป็นแปดสาขา ศิษย์แต่ละสาขาที่เลือกวิชาพื้นฐานยังคงเน้นหนักแตกต่างกัน อย่างสาขาเก้าทารกของเราวิชาที่เป็นสุดยอดคือวิชาสัมปรายภพทมิฬ ทางที่ดีที่สุดควรเลือกวิชาจิตวิญญาณพสุธา และวิชาทานตะวันราตรีทั้งสองวิชานี้เป็นวิชาพื้นฐาน ถ้าหากฝึกวิชาพื้นฐานอื่นๆ แล้วค่อยมาเลือกวิชานี้ล่ะก็ ต้องฝึกฝนเป็นสองเท่าแต่กลับได้ผลลัพธ์แค่ครึ่งเดียว แม้กระทั่งไม่สามารถฝึกฝนไปสู่ระดับที่สูงที่สุดได้ และการที่จะฝึกเคล็ดวิชาที่มีอานุภาพมากในนิกายเราได้ ก็ต้องฝึกวิชาพื้นฐานบางวิชาจนถึงระดับที่มั่นคงก่อน ด้วยเหตุนี้การเลือกวิชาพื้นฐานจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก” ครั้งนี้สือชวนตอบกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ศิษย์พี่สือ ข้ายังมีคำถามอีกข้อ ข้าได้ยินมาว่า…”

สือชวนพาทั้งสามเลือกที่พักไปด้วย ตอบข้อสงสัยของพวกเขาไปด้วย

ไม่นานนัก ก็วนรอบสถานที่พักของบรรดาศิษย์ไปหนึ่งรอบ

ภายใต้คำแนะนำของศิษย์พี่สือ ทั้งสามคนต่างก็ได้ที่พักที่เหมาะสมกับตนเอง

สถานที่หลิ่วหมิงเลือกคือที่พักหลังที่มีสามห้องสร้างขึ้นบนลานเล็กๆ ตรงไหล่เขา แต่ว่าตั้งอยู่ค่อนข้างไกล ทั้งยังเงียบสงบเป็นอย่างมาก

เวลาถัดมา สือชวนนำพวกเขาเหาะไปยังหอดำเนินการที่อยู่ตรงยอดเขาใหญ่

ใช้เวลาไม่นาน เมฆสีเทาก็พาพวกเขามาถึงด้านหน้าของหอยักษ์ที่สูงสามสิบจั้ง

“ศิษย์น้องไป๋ หอนี้แบ่งเป็นสามชั้น ทั้งหมดเป็นของหอดำเนินการ แต่ว่าแต่ละชั้นมีหน้าที่ไม่เหมือนกัน ชั้นหนึ่งเป็นที่จัดการเรื่องราวต่างๆ ภายในนิกาย มอบหมายภารกิจต่างๆ ให้กับศิษย์ ชั้นสองเป็นที่รับและประกาศให้รางวัลภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากนิกาย สะสมแต้มคุณูปการและตราหินจิตวิญญาณอย่างอิสระ ชั้นสามถึงเป็นที่พักชั่วคราวของศิษย์”

“แต้มคุณูปการ! ตราหินจิตวิญญาณ!” หลิ่วหมิงได้ยินคำนี้ ตาทั้งคู่ของเขาก็ค่อยๆ หรี่ลง

ในะหว่างเดินทางมาก่อนหน้านั้น เขาได้รู้จากสือชวนว่าศิษย์นิกายโดยทั่วไปนอกจากจะสามารถฝึกเคล็ดวิชาในสาขาของตนแล้ว เคล็ดวิชาเฉพาะบางอย่างก็ยากที่จะได้รับการถ่ายทอด ต้องสะสมแต้มคุณูปการแล้วนำไปแลกกับเคล็ดวิชาเหล่านี้ที่หอเก็บคัมภีร์ และแต้มคุณูปการนี้ยังสามารถใช้แลกโอสถ ยันต์ วัสดุและสิ่งของต่างๆ เป็นต้น และสถานที่พิเศษบางแห่งที่มีผลดีต่อการฝึกฝน ถ้าหากจะเข้าไปได้ล่ะก็ ก็จำเป็นต้องนำแต้มคุณูปการไปแลกถึงจะเข้าไปได้

สำหรับตราหินจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ใช้บ่อยมากในการฝึกฝน ว่ากันว่าทำจากผลึกหินที่แฝงไปด้วยพลังฟ้าดินมาตัดแบ่งเป็นขนาดเท่าๆ กันแล้วทำเป็นตราหินจิตวิญญาณ

ผลึกขนาดใหญ่ที่เห็นฝังอยู่ในค่ายกลก่อนพิธีเปิดจิตวิญญาณนั้น คงเป็นหินจิตวิญญาณที่ยังไม่ได้ตัดแบ่งออกมา

ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่หลิ่วหมิงได้ยินชื่อของสองสิ่งนี้ แต่ก็มองออกว่าของทั้งสองสิ่งนี้จะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เขาอยู่ในนิกายได้อย่างมั่นคง สายตาเขาที่มองไปยังหอยักษ์ด้วยความตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้

ตอนนี้ศิษย์ที่เข้าไปในหอดำเนินการมีไม่กี่คน คาดว่าคงเป็นเพราะท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้วนั่นเอง

เมื่อได้ยินศิษย์พี่สือพูดแบบนี้ สีหน้าของทั้งสามค่อยๆ กลับมาเป็นปกติเล็กน้อย

ผ่านไปชั่วครู่ เมื่อมีแสงปรากฏที่ด้านหลังโต๊ะแท่นหินอีกครั้ง ผู้อาวุโสหูก็หอบสิ่งของกองใหญ่เดินออกมา และวางมันลงไปบนโต๊ะ

“แต่ละคนจะได้รับ ป้ายชื่อหนึ่งอัน ชุดสยบฝุ่นหนึ่งชุด กระบี่อาญาสิทธิ์คนละหนึ่งเล่ม หินจิตวิญญาณคนละห้าก้อน นอกจากนี้อยากจะขอเตือนว่า ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้านิกายสามารถมารับหินจิตวิญญาณได้ทุกเดือนเดือนละห้าก้อน แต่ละเดือนก็ต้องทำภารกิจที่ได้มอบหมายให้สำเร็จหนึ่งอย่าง มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับหินจิตวิญญาณแม้แต่ก้อนเดียว เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งสามหยดเลือดลงไปบนป้ายชื่อหนึ่งหยด แล้วกระตุ้นมันต่อหน้าข้า” ผู้อาวุโสหูกล่าวเบาๆ

“ป้ายชื่อคือสิ่งของที่ใช้สะสมแต้มคุณูปการ กับระบุตัวตน และยังเป็นเครื่องมืออาญาสิทธิ์ไปในตัว พอเลือดของเจ้าหยดลงไปแล้วมันจะเชื่อมโยงกับวิญญาณของเจ้า แล้วจะไม่มีใครสามารถใช้เครื่องมือนี้ได้อีก” สือชวนกล่าวเสริม

ถึงแม้หลิ่วหมิงจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่เขาก็รู้ว่าเวลานี้ไม่ควรถามอะไรมาก เขายื่นนิ้วหนึ่งเข้าไปในปาก และกัดจนเลือดออกและยื่นไปหยดลงบนป้ายชื่อ

พอหยดเลือดสดสีแดงไหลตกลงไป มันก็กะพริบจมหายลงไปบนป้ายหยก

ครู่เดียว บนป้ายชื่อก็เปล่งแสงสีขาวนวลออกมาชั้นหนึ่ง และมีอักขระแปลกประหลาดสิบกว่าแถวปรากฏขึ้นแล้วก็หายไป จากนั้นก็กลับคืนสู่สภาพเดิม

หลิ่วหมิงหยิบป้ายชื่อขึ้นมาดูด้วยความแปลกใจ

“ศิษย์น้องไป๋ไม่ต้องจ้องดูมากหรอก รอมีพลังแล้วแค่ใส่พลังลงไปเพียงนิดเดียว ก็รู้วิธีใช้มันแล้ว” สือชวนกล่าว

หลิ่วหมิงพยักหน้าตอบรับ เก็บป้ายชื่อของตัวเอง แล้วคว้าชุดสยบฝุ่นสีเขียวที่เป็นชุดศิษย์นิกายและกระบี่ยาวฝักเหลืองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ทางด้านเซวียซาน และวั่นเสี่ยวเชี่ยนก็ทำเช่นเดียวกัน

จากนั้นพวกเขาก็หันไปกล่าวขอบคุณกับผู้อาวุโสหู แล้วทั้งสามก็เดิมตามสือชวนออกมาจากหอดำเนินการ

“ตอนนี้ยังมีเวลานิดหน่อย ศิษย์น้องไป๋ พวกเจ้าอยากจะไปดูหอเก็บคัมภีร์สักหน่อยไหม?” ตอนที่เดินออกมาจากประตูใหญ่ สือชวนก็ค่อยๆ ชะงักฝีเท้า ลังเลสักครู่แล้วถามออกไป

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา