“หอเก็บคัมภีร์เหรอ อยากไปอย่างแน่นอน” เซวียซานและวั่นเสี่ยวเชี่ยนได้ยินดังนั้นก็ตอบกลับด้วยความดีใจ
หลิ่วหมิงยิ่งปฏิเสธไม่ได้ใหญ่
ดังนั้นสือชวนก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก เขาเอาทำท่ามือท่องคาถารวบรวมก้อนเมฆสีเทาอีกครั้ง แล้วพากันเหาะไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง
ผ่านไปสักครู่ พวกเขาก็ลอยลงมาบนพื้นที่ลับตาคน เมื่อพวกเขาผ่านป่าเสาหินสีเขียว หอที่สร้างติดกับภูเขาก็ปรากฏแก่สายตา ครึ่งหนึ่งของหอนี้โผล่ออกมานอกเขา อีกครึ่งหนึ่งกลับอยู่ข้างในเขาหิน
ป้ายที่ติดอยู่บนประตูใหญ่มีอักษรคำว่า ‘หอเก็บคัมภีร์’ สีแดงอมม่วงเขียนติดอยู่ ตัวอักษรนี้ดูมีพลังและชีวิตชีวามาก ทั้งสองข้างของประตูมีรูปแกะสลักของปีศาจดุร้ายสูงสองจั้งอยู่ตนหนึ่ง รูปแกะสลักนี้ดูกระฉับกระเฉงราวกับมีชีวิต และมีดำไปทั้งตัวราวกับว่าหลอมมาจากเหล็กบริสุทธิ์
“พวกเจ้าจำไว้นะ หอเก็บคัมภีร์เป็นสถานที่สำคัญของนิกายเรา นอกจากทางเล็กที่เรามากันแล้ว ก็ไม่มีทางอื่นใดอีกที่สามารถเข้ามาถึงที่นี่ได้ ถึงแม้จะเหาะมาก็ไม่สามารถเหาะเข้ามาภายในรัศมีห้าร้อยจั้งได้ มิฉะนั้นจะถูกหาว่าเป็นผู้บุกรุก และหากละเมิดข้อห้ามของหอเก็บคัมภีร์ ผู้พิทักษ์หอเก็บคัมภีร์ก็จะปล่อยกลไกที่ซ่อนอยู่ออกมาเพื่อฆ่าศัตรู ก่อนหน้าก็เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้ว” สือชวนกล่าวด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมกว่าปกติ
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ! ผู้พิทักษ์หอเก็บคัมภีร์คือรูปแกะสลักของปีศาจยักษ์สองคนนี้?” วั่นเสี่ยวเชี่ยนรู้สึกตกใจ เหลือบมองไปยังรูปสลักหน้าตาอัปลักษณ์ดุร้ายอย่างอดไม่ได้
“ถูกต้อง อย่าเห็นว่าตอนนี้พวกมันเป็นแค่รูปแกะสลักเท่านั้น พอมันถูกปลุกขึ้นมา มีพลังที่เกือบจะเทียบเท่ากับอาจารย์จิตวิญญาณเลยทีเดียว ศิษย์จิตวิญญาณอย่างพวกเราไม่สามารถต่อกรกับมันได้ และการปลุกพวกมันก็ต้องสิ้นเปลืองหินจิตวิญญาณจำนวนมาก” สือชวนอธิบายออกมาสองสามประโยค แล้วก็พาทั้งหมดเข้าไปในหอเก็บคัมภีร์
หลิ่วหมิ่งกวาดสายตามองเข้าไปด้านใน สิ่งที่เจอเหนือความคาดหมายไว้มาก
เมื่อเข้าไปด้านในสิ่งที่เห็นคือห้องเล็กๆ ที่กว้างไม่กี่จั้ง ด้านในนี้นอกจากเก้าอี้ว่างเปล่าตัวหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของใดอีก
สือชวนเห็นแบบนี้กลับดูเหมือนไม่ได้แปลกใจอะไรเลย เขาแค่พลิกฝ่ามือ ป้ายชื่อตนเองก็ส่องแสงและปรากฎออกมา เขานำมันไปทาบติดกับฝาผนัง
หลังจากเสียงดัง “ฟิ้วววว” แสงสีขาวก็ส่องประกายออกมาจากป้ายชื่อ แล้วจมหายเข้าไปในฝาผนัง
จากนั้นสือชวนและพวกหลิ่วหมิงต่างก็อดทนรออย่างเงียบๆ
ผ่านไปชั่วครู่ แสงสีขาวก็ปรากฏที่ผนังหินด้านหน้า ผู้อาวุโสร่างท้วมสวมหมวกทรงสูงเดินออกมา เขาหาวออกมาไม่หยุด สีหน้าเหมือนกับยังไม่ตื่นดี
“ศิษย์สือชวน ขอคารวะอาจารย์อาหร่วน” เมื่อสือชวนเห็นผู้อาวุโสท่านนี้ เขาก็รีบเดินไปข้างหน้าเพื่อคารวะอย่างนอบน้อมทันที
“อ้อ ที่แท้ก็ศิษย์สาขาเก้าทารกนี่เอง นำศิษย์ใหม่มาเลือกวิชากันเร็วจัง” ผู้อาวุโสร่างท่วมกวาดสายตามองพวกหลิ่วหมิงสักครู่และกล่าวออกไปอย่างเฉื่อยชา
“ศิษย์เหล่านี้อยากมาดูก่อนว่าในหอนี้มีเคล็ดวิชาอะไรน่าฝึกบ้าง ส่วนจะเลือกตอนนี้เลยหรือไม่นั้นให้พวกเขาตัดสินใจเอาเอง” สือชวนกล่าวออกมาโดยไม่ต้องคิด
“ได้ ตามกฎศิษย์ใหม่มีโอกาสเข้าชมหอเก็บครั้งคัมภีร์ได้หนึ่งครั้งโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ข้าก็จะอธิบายถึงข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิชาให้พวกเจ้าด้วยตนเอง สามารถพาเข้าไปได้ครั้งละหนึ่งคนเท่านั้น พวกเจ้าใครจะเข้าไปก่อน?” ผู้อาวุโสร่างท้วมกล่าวออกมา
“ท่านผู้อาวุโส ให้ข้าน้อยเข้าไปก่อนเถอะ” เซวียซานก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วกล่าวออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวัง
“เฮ่อๆ งั้นเจ้าก็ตามข้ามาเถอะ” ผู้อาวุโสร่างท้วมหัวเราเฮ่อๆ แล้วก็สะบัดแขนเสื้อ แสงสีขาวแสบตาก็ปรากฏออกมาทันที
จนพวกหลิ่วหมิงจำเป็นต้องหลับตา พอลืมตาก็ไม่เห็นเงาของผู้อาวุโสและเซวียซานแล้ว
“นี่คือ…” วั่นเสี่ยวเชี่ยนแสดงสีหน้าตกใจขึ้นมาทันที
“ไม่ค้องกังวลไป อาจารย์อาหร่วนแค่ใช้พลังในหอเคลื่อนย้ายเซวียซานไปยังภายในหอเก็บคัมภีร์” สือชวนกลับอธิบายออกมาโดยไม่รู้สึกแปลกใจเลย
วั่นเสี่ยวถึงค่อยวางใจลง
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วถามออกไปประโยคหนึ่ง
“ศิษย์พี่สือ อาจารย์อาหร่วนคือผู้ที่คอยดูแลหอเก็บคัมภีร์ใช่ไหม ไม่ทราบว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญจิตวิญญาณสาขาใด?”
“เฮอๆ ข้ารู้ว่าศิษย์น้องกังวลใจด้วยเรื่องอันใด วางใจเถอะ อาจารย์อาหร่วนดูแลหอเก็บคัมภีร์นี้มาโดยตลอด แต่ชาติกำเนิดของท่านค่อนข้างพิเศษ ไม่สังกัดสาขาใด”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” หลิ่วหมิงผ่อนคลายลมหายใจออกมา
เขาและวั่นเสี่ยวเชี่ยนอาศัยโอกาสนี้สอบถามเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับหอเก็บคัมภีร์กับสือชวน
ศิษย์พี่สือผู้นี้ก็ตอบคำถามอย่างเต็มความสามารถ
และเมื่อเวลาผ่านไป แสงสีขาวก็ปรากฏออกมาตรงฝาผนัง เซวียซานเดินออกมากับผู้อาวุโสร่างท้วมด้วยใบหน้าที่แสดงความพอใจ
“ยินดีกับศิษย์น้องเซวีย ดูเหมือนว่าจะเลือกวิชาที่เหมาะกับตนเองได้แล้ว” นัยน์ตาของสือชวนเป็นประกาย กล่าวออกไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เฮ่อๆ ต้องชมอาจารย์อาหร่วนที่ชี้แนะ” เซวียซานพยักหน้ากล่าวออกมา
“ต่อไปตาใครล่ะ” ผู้อาวุโสไม่ได้ตอบรับแต่อย่างใด แต่กลับกวาดสายตามองไปยังหลิ่วหมิงและวั่นเสี่ยวเชี่ยน
“ศิษย์น้อง เชิญเจ้าก่อนเลย” หลิ่วหมิงเห็นดังนั้น ก็กล่าวกลับดรุณีน้อยด้านข้างอย่างเกรงใจ
“ในเมื่อศิษย์พี่ไป๋ยอมให้ไปก่อน งั้นข้าก็ไม่เกรงใจล่ะนะ” วั่นเสี่ยวเชี่ยนได้ยินดังนั้นก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยไม่ได้บ่ายเบี่ยงแต่อย่างใด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา