“นี่คือข้อเสนอที่ตระกูลไป๋เอามาทำข้อตกลงหรือ? สิ่งของทั้งหมดนี้รวมกันมีค่าเท่ากับหินจิตวิญญาณไม่กี่พันก้อนเท่านั้น พวกท่านคิดว่าข้ายอมหาเรื่องใส่ตัวเพียงเพราะหินจิตวิญญาณอันน้อยนิดนี่หรือ?”
“ข้ารู้ว่าของเหล่านี้อาจน้อยเกินไปสำหรับคุณชาย แต่ตระกูลไป๋เราไม่อาจเทียบกับตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงได้ และในช่วงระยะเวลาสั้นๆ พวกเราไม่สามารถสะสมทรัพยากรได้มาก แต่ตระกูลไป๋รับปากคุณชายได้ว่าอีกครึ่งปีพวกเราจะเพิ่มเติมให้อีกเท่าหนึ่งของสิ่งที่มีในตอนนี้” ไป๋ซิงหลิวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดอย่างเด็ดเดี่ยว
“อะไรกันพี่ใหญ่ จะทำแบบนั้นได้อย่างไร!” รองนายท่านที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวขึ้นมาอย่างร้อนใจ
“ถ้าตระกูลไป๋ไม่สามารถรักษาตำแหน่งในตอนนี้ไว้ได้ ต่อให้มีทรัพยากรมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์” นายท่านตระกูลไป๋โบกมือก่อนที่จะกล่าวออกมา
“ต้องขออภัย! หากมีข้อเสนอเพียงเท่านี้ ข้าไม่สนใจที่จะทำข้อตกลงด้วย” ยังไม่ทันที่สองพี่น้องตระกูลไป๋จะได้โต้แย้งกัน หลิ่วหมิงก็ส่ายศีรษะแล้วชิงพูดขึ้นมาก่อน
พอได้ยินเช่นนี้สองพี่น้องตระกูลไป๋ก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างช่วยไม่ได้
“พี่หลิ่ว มันจะไม่มากไปหรอกหรือ? ถ้าหากรวมทรัพยากรสองชุดนี้เข้าด้วยกัน มันคงมีมูลค่าเทียบเท่ากับหินจิตวิญญาณเกือบหมื่นก้อน และตระกูลไป๋ก็เพียงแค่ยืมชื่อเสียงของท่านใช้เท่านั้น ท่านไม่ได้เสียหายอะไรสักหน่อย” ในที่สุดไป๋เยียนเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เอ่ยปากออกมา
“หากแค่ยืมชื่อเสียงชื่อของข้าจริงๆ ล่ะก็ ทรัพยากรเหล่านี้ก็เพียงพอแล้ว แต่ข้าไม่เชื่อว่าถ้าตระกูลไป๋เจอกับปัญหาใดๆ แล้วมันจะไม่พัวพันถึงข้า เพราะถ้าข้ายอมรับข้อตกลงนี้ ข้าก็ต้องเป็น ‘ไป๋ชงเทียน’ ต่อไป หากตระกูลผู้ฝึกปราณอื่นอยากจัดการตระกูลไป๋ล่ะก็ เกรงว่าคนแรกที่พวกเขาต้องจัดการก็คือข้า มิเช่นนั้นพวกเขาจะลงมือกับตระกูลไป๋ได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถรับปากได้โดยง่าย” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
นายท่านและรองนายท่านตระกูลไป๋ได้ยินหลิ่วหมิงกล่าวเช่นนี้ ก็อดที่จะมองหน้ากันไม่ได้
เหตุผลนี้พวกเขาทั้งสองย่อมรู้อยู่แก่ใจดี แต่ตอนนี้ถูกหลิ่วหมิงเปิดโปงออกมาจึงทำให้ทั้งสองรู้สึกเก้อเขินมาก
พอไป๋เยียนเอ๋อร์ได้ยินแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้กล่าวอะไรออกมาแต่สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป
หลิ่วหมิงกลับยังยืนอยู่ที่เดิม ปล่อยให้ทั้งสามคิดอะไรในใจอยู่เงียบๆ
“เยียนเอ๋อร์ เจ้า…”
“เอาล่ะ! อารอง ข้าเข้าใจความหมายของท่าน แต่ข้อเสนอนี้ไม่ได้ผลหรอก”
รองนายท่านตระกูลไป๋มองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และกำลังคิดที่จะกล่าวอะไรออกมา แต่โดนนางขัดคอไว้ก่อน
“เจ้าไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณชายไม่ยินยอม” รองนายท่านตระกูลไป๋กล่าวพึมพำ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ถึงแม้จะมีสีหน้าปกติแต่ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“เอาเถอะ! สหายหลิ่ว นอกจากทรัพยากรเหล่านี้แล้ว หากบวกข้าเข้าไปด้วยอีกคนล่ะ! ถ้าข้ายอมแต่งกับเจ้า เจ้าจะยอมช่วยตระกูลไป๋เราให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ไหม” ไปเยียนเอ๋อร์ถอนหายใจ และกล่าวกับหลิ่วหมิงอย่างไม่ใส่ใจ
“สหายไป๋ล้อข้าเล่นแล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้กลับรู้สึกอึ้งขึ้นมา
“ข้าไป๋เยียนเอ๋อร์ ถึงแม้จะเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณระดับต้น แต่ก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลไป๋ เพียงแค่เจ้ายอมแต่งกับข้า ข้าก็จะยอมแต่งกับเจ้า” ไป๋เยียนเอ๋อร์ยิ้มให้กับหลิ่วหมิงแล้วกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“แม่นางไป๋รูปโฉมงดงามยากที่ชายใดจะปฏิเสธได้ แต่ข้าตัดสินใจเลือกเส้นทางการฝึกฝน หวังว่าจะมีสักวันที่สามารถเข้าสู่ระดับของเหลวได้ ตอนนี้ยังไม่คิดที่จะหาคู่รักฝึกฝนแต่อย่างใด” หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะมองใบหน้างดงามของไป๋เยียนเอ๋อร์อยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวด้วยความรู้สึกเสียใจ
ได้ยินหลิ่วหมิงกล่าวเช่นนี้ ไป๋เยียนเอ๋อร์ก็ได้แต่ยิ้มไม่พูดอะไรออกมา
สองพี่น้องตระกูลไป๋ที่อยู่ด้านข้างรู้สึกผิดหวังขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย แต่ตอนนี้พวกเขาก็ไม่รู้จะหาข้อเสนออะไรมาโน้มน้าวใจชายหนุ่มตรงหน้านี้ได้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ไม่อยากรออีกต่อไปจึงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ถ้าตระกูลไป๋แสดงความจริงใจออกมาได้เพียงแค่นี้ ข้าก็ไม่ขอเล่นด้วยแล้ว ข้ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ ขอตัวก่อน”
พอเขากล่าวจบก็ประสานมือขอโทษไป๋เยียนเอ๋อร์ จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ออกไปนอกประตู
สองพี่น้องตระกูลไป๋เห็นเช่นนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างช่วยไม่ได้
ไป๋เยียนเอ๋อร์ก็คิ้วขมวดขึ้นมา
และขณะนั้นเอง ก็พลันมีเสียงแหบๆ ตะโกนมาจากนอกประตู
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา