ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 171

สรุปบท ตอนที่ 171: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอน ตอนที่ 171 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 171 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่ 171 เฉียนหรูผิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
แต่ครั้งนี้กลับมีเสียงดังสะเทือนขึ้นมา ลูกธนูเล็กสามดอกพุ่งไปยังด้านหน้าเขาด้วยเสียงแหลมบาดหู

มันคือลูกธนูที่หญิงแซ่ตู้ยิงออกไปในฉับพลัน

ผู้ฝึกปราณที่ดูเป็นหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก ถึงแม้ตัวจะยังอยู่บนอากาศ แต่เขากลับสะบัดแขนเสื้อในฉับพลัน ทำให้กระบี่อ่อนราวกับอสรพิษพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขา หลังจากที่มันหมุนควงเล็กน้อยแล้ว ก็กลายเป็นเงากระบี่สามเงาฟันไปยังลูกธนูทั้งสามอย่างบ้าคลั่ง

เสียงดัง “ตู้ม!”

พริบตาที่ลูกธนูทั้งสามถูกเงากระบี่ฟัน มันก็ระเบิดตัวออกมาราวกับเป็นเครื่องเคลือบดินเผา และยังมีของเหลวสีดำพุ่งออกมาปกคลุมไปทั่ว

ผู้ฝึกปราณที่เป็นหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิง นับว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การต่อสู้มาไม่น้อย แต่การเปลี่ยนแปลงอันกะทันหันนี้ทำให้เขาไม่อาจป้องกันตัวได้ทัน จึงถูกของเหลวสีดำสาดทั่วตัว

เขาพลิกตัวร่วงลงไปบนพื้น และรีบดมแขนเสื้อข้างหนึ่ง หลังจากที่สัมผัสถึงกลิ่นเหม็นคาวแล้ว เขาก็ส่งเสียงร้องแหลมออกมาด้วยความตกใจปนโมโหอย่างอดไม่ได้

“เจ้าซ่อนอะไรไว้ในลูกธนู?”

“ไม่จำเป็นต้องถามอะไรมาก อีกประเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง ข้าเองก็ไม่อยากเสียเวลาพูดกับคนตาย” หญิงแซ่ตู้ลดธนูยักษ์ในมือลงแล้วกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

“อ๊าก…ถึงแม้จะต้องตาย ข้าก็จะต้องฆ่าเจ้าก่อน” ผู้ฝึกปราณที่เป็นหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงร้องอย่างเวทนา กล้ามเนื้อผิวหนังเปื่อยยุ่ยและละลายไปอย่างรวดเร็ว เขาส่งเสียงแหลมเศร้ากำสรดออกมาในทันที จากนั้นก็ตวัดกระบี่อ่อนในมือ และเขวี้ยงเข้าใส่หญิงแซ่ตู้อย่างโหดเหี้ยม

แสงสีเงินเปล่งประกายออกมา กระบี่อ่อนกลายเป็นสายรุ้งอันเย็นสะท้านพุ่งไปยังเหนือศีรษะของนาง และฟันลงไปอย่างโหดเหี้ยม

นางรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะยังมีท่าไม้ตายนี้อยู่ จึงได้แต่ยกธนูยักษ์ในมือขึ้นต้านทานทันที เพื่อหวังโจมตีให้สายรุ้งอันเย็นสะท้านกระเด็นกลับไป

แต่เห็นได้ชัดว่านางประมาทท่าไม้ตายของผู้ฝึกปราณขั้นกลางคนนี้มากไปหน่อย แม้ว่าธนูยักษ์ในมือจะไม่ใช่อาวุธธรรมดาทั่วไป แต่ไหนเลยจะสามารถเทียบกับอาวุธอาญาสิทธิ์ได้

หลังจากที่มีเสียงดัง “เพล้ง!” สายธนูยักษ์ถูกตัดขาดในทันที หลังจากสายรุ้งอันเย็นสะท้านเปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง มันก็กะจะฟันร่างของนางให้เป็นสองส่วน

แต่ขณะนั้นเองก็มีเสียงดัง “ฟิ้ว!” แสงสีเขียวลำหนึ่งพุ่งมาจากอีกด้าน และฟันลงบนสายรุ้งเย็นสะท้านอย่างรุนแรง

เสียงดัง “เต๊ง!”

แสงสีเขียวสลายกลายเป็นจุดๆ ก่อนที่จะหายไป สายรุ้งเย็นสะท้านก็กระเด็นออกไป และกลายเป็นกระบี่อ่อนก่อนที่จะตกลงบนพื้น

หญิงแซ่ตู้รู้สึกอึ้งเล็กน้อย นางหันหน้าไปมองบัณฑิตหนุ่มทีหนึ่ง

เห็นเพียงแค่บัณฑิตหนุ่มค่อยๆ วางมือลง ประจักษ์ว่าเมื่อครู่เขาได้ยื่นมือเข้าไปช่วยนางไว้

หญิงแซ่ตู้คิดใคร่ครวญเรื่องนี้ แล้วพยักหน้าให้กับบัณฑิตหนุ่ม แต่ไม่ได้กล่าวขอบคุณออกมา และนางก็หันไปตะคอกใส่ทหารหน่วยพยัคฆ์ทมิฬคนอื่นๆ

“พวกเจ้ารออะไรกัน ยังไม่รีบจัดการโจรพวกนี้อีก!”

เดิมทีทหารหน่วยพยัคฆ์ทมิฬต่างก็ตกตะลึงตาค้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่พอได้ยินเช่นนี้ ถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมาในฉับพลัน พวกเขาส่งเสียงตะโกนพร้อมกับกระโจนเข้าใส่คนชุดดำด้วยท่าทีฮึกเหิมกว่าเดิมหลายเท่า

ในทางตรงกันข้าม หลังจากที่หัวหน้าผู้ฝึกปราณของคนชุดดำตายไปหมดแล้ว พวกเขาต่างก็ค่อยๆ ถอยไปอย่างลนลาน และบางคนก็หมุนตัววิ่งหนีอย่างไม่ลังเล

ผลลัพธ์ของการต่อสู้นัวเนียกัน คนบางส่วนก็ถูกฆ่าตายในนั้น แต่ส่วนมากกลับวิ่งหนีลอยนวลไป

ในช่วงระหว่างนี้ หญิงแซ่ตู้กับหญิงแกร่งผู้นั้น กลับยืนอยู่ข้างฮูหยินหมีกับเด็กชายอยู่ตลอดเวลาโดยไม่คิดที่จะต่อสู้ ดูเหมือนยังกังวลว่าผู้ที่มาโจมตีจะมีไม้ตายอื่นซ่อนอยู่

แต่เห็นชัดว่าพวกเขากังวลเกินความจำเป็น

เมื่อหน่วยพยัคฆ์ทมิฬจัดการกับคนชุดดำคนสุดท้ายที่หนีไม่ทันได้แล้ว ก็ไม่มีคนอื่นๆ โผล่มาอีกเลย

หญิงแกร่งเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจยาวออกมา หลังจากที่มองไปทางบัณฑิตหนุ่มแล้ว ก็กระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับฮูหยินหมีเบาๆ สองประโยค

หญิงแซ่ตู้สั่งให้ทหารหน่วยพยัคฆ์ทมิฬเริ่มจัดการสถานที่ และเริ่มสอบสวนคนชุดดำสองคนที่ถูกจับเป็น

“ขอบคุณท่านเซียนที่ยื่นมือเข้าช่วย มิเช่นนั้นเกรงว่าข้ากับลูกของข้าคงยากที่จะหนีพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้” พอฮูหยินหมีเดินมาถึงหน้าบัณฑิตหนุ่ม ก็แสดงความเคารพและกล่าวด้วยความนอบน้อมและจริงใจ

“ใช่แล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าเมื่อครู่สหายได้ช่วยไว้ฮูหยินข้าคงไม่สามารถมีชีวิตกลับไปเสวียนจิงได้” หญิงร่างแข็งแรงทำความเคารพพร้อมกับกล่าวออกมา

“ไม่ต้องขอบคุณข้า ที่ข้าลงมือเมื่อครู่ไม่ใช่เพราะช่วยพวกเจ้า เพียงแค่คนเหล่านี้ลงมือกับข้าก่อนเท่านั้น” บัณฑิตหนุ่มใช้ไม้เขี่ยกองไฟตรงหน้าสองที แล้วตอบกลับอย่างไม่สนใจไยดี ท่าทีของเขาแตกต่างจากก่อนหน้านี้มาก

“ท่านเซียนล้อข้าเล่นแล้ว เป็นเพราะท่านเซียนพวกข้าถึงรักษาชีวิตไว้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ทราบท่านเซียนมีนามว่าอะไร ท่านก็ไปเสวียนจิงใช่หรือไม่?” ฮูหยินหมียิ้มหวานแล้วกล่าวออกไป

ได้ยินบัณฑิตหนุ่มยืนยันเช่นนี้ ฮูหยินหมีกับหญิงแกร่งก็มองตากัน และเชื่อบัณฑิตหนุ่มโดยไม่รู้ตัว

ฮูหยินหมีรีบกล่าวขอตัวกับบัณฑิตหนุ่มแล้วนางกับหญิงแกร่งก็จูงเด็กชายเดินกลับไป

หญิงแกร่งกำชับหญิงรับใช้คนนั้นสองสามที จากนั้นก็รีบออกไปจากประตูวัดอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปไม่นาน หญิงรับใช้สาวก็หอบห่อตุงนูนเดินเข้ามา

หญิงแกร่งรับห่อผ้ามาแล้วค้นหาในนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก็หยิบกล่องเข็มเงินกับยันต์หลายผืนออกมาได้อย่างรวดเร็ว

ท่ามกลางสายตาที่เป็นกังวลของฮูหยินหมี หญิงแกร่งแปะยันต์บนตัวของเด็กชายผืนหนึ่ง จากนั้นก็ฝังเข็มเงินจำนวนมากลงบนแขนของเด็กชายอย่างรวดเร็ว

“พี่หมิง เขาถูกพิษจริงๆ หรือ?”

ขณะนี้เด็กหญิงที่นั่งชิดอยู่ข้างบัณฑิตหนุ่มเงยหน้าขึ้นถามอย่างอดไม่ได้

“อืม! ถูกพิษจริงๆ ทั้งยังเป็นพิษประหลาดที่มีปัญหาเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะข้า พวกเขาคงค้นพบเรื่องนี้ก่อนวันพิษกำเริบหนึ่งวันเท่านั้น” บัณฑิตหนุ่มตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ขณะเดียวกันก็ใช้มือลูบศีรษะของเด็กหญิงด้วยความสงสาร

แน่นอนว่าบัณฑิตที่ดูเหมือนอายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีนี้ คือหลิ่วหมิงที่ปลอมตัวมา

หลังจากที่เขาไปจากเขตเฟิ่งอวิ๋นแล้ว ก็ไปเมืองเล็กๆ ที่อยู่อีกเขตหนึ่ง สืบหาจนเจอทายาทเพียงหนึ่งเดียวของอาเฉียน และนางก็คือหลานสาวของของอาเฉียนนั่นเอง

บนเกาะมฤตยูในตอนนั้น อาเฉียนที่เป็นเหมือนพ่อและอาจารย์ของเขาผู้นั้น ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวก่อนตายของเขาคือ หวังว่าถ้าหลิ่วหมิงมีโอกาสล่ะก็ ช่วยดูแลทายาทของท่านด้วย

หลังจากที่หลิ่วหมิงไปจากเกาะมฤตยูแล้ว ก็ถูกคนตามล่ามาโดยตลอด จากนั้นก็ได้เป็นศิษย์นิกายปีศาจโดยไม่คาดคิด จนถึงตอนนี้ถึงได้มีเวลาไปบ้านเกิดของอาเฉียนเพื่อสืบหาทายาทของท่าน

แต่หลังจากที่เขาสืบหาแล้ว กลับค้นพบว่าก่อนอาเฉียนถูกจับไปขังที่เกาะมฤตยูนั้น ท่านมีบุตรชายอยู่เพียงคนเดียว ถึงแม้จะมีครอบครัวไปนานแล้ว แต่เมื่อหลายปีก่อนทั้งสองสามีภรรยาต่างก็เสียชีวิตจากโรคระบาด ทิ้งลูกสาวอายุสามสี่ขวบที่ชื่อว่าเฉียนหรูผิงไว้เพียงคนเดียว

ด้วยเหตุนี้ เด็กหญิงที่ไม่มีพ่อแม่อยู่ข้างกาย ย่อมถูกญาติคนอื่นๆ แย่งเอาทรัพย์สินไปทั้งหมด ผ่านไปไม่นานก็ถูกขับไล่ออกจากบ้าน จนต้องตกเป็นขอทานน้อย

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา