ฮูหยินหมีกับหงเส่าพาเด็กชายกลับยังกองไฟกองเดิม และเริ่มเตรียมอาหารบำรุงให้เด็กชาย เมื่อเด็กชายฟื้นขึ้นมาจะได้ให้ทานเลย
เช้าวันที่สอง ทหารเกราะดำกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมรถม้าสองสามคันมุ่งหน้าไปยังเสวียนจิง แต่ว่าในนั้นมีรถม้าคันเล็กๆ ที่ใช้ล่อลาก เทียบกับคันอื่นๆ แล้วมันไม่เข้ากันเลย
หลังจากผ่านการต่อสู้มาเมื่อวาน หน่วยพยัคฆ์ทมิฬเหล่านี้ก็มีคนตายไปเจ็ดถึงแปดคน และคนอื่นๆ ต่างก็มีบาดแผลตามร่างกาย แต่ศพที่เสียชีวิตได้เผาไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ส่วนคนที่ได้รับบาดเจ็บก็ทาโอสถเล็กน้อย จากนั้นก็สวมใส่เกราะเหล็ก เมื่อมองดูจากภายนอกจะไม่พบความผิดปกติใดๆ
ธนูยักษ์บนหลังของหญิงแซ่ตู้ก็ถูกเปลี่ยนสายธนูเส้นใหม่ และสวมหมวกเกราะปิดบังใบหน้าเดินอยู่ข้างรถม้าของฮูหยินหมี
คนทั้งกลุ่มเดินทางไปตามถนนสายหลักจนไกลออกไปเรื่อยๆ ไม่นานก็หายลับไปจากวัดร้างแห่งนั้น
……
ภายในห้องโถงที่ตกแต่งอย่างโอ่อ่ารโหฐาน คนสวมชุดคลุมผ้าดิ้นบุคลิกภูมิฐานอายุราวๆ สามสิบกว่าปี เพิ่งอ่านจดหมายลับในมือที่ส่งมาจากนอกเมืองเสวียนจิงจบ ทันใดนั้นเขาก็ตบโต๊ะที่อยู่ข้างตัวด้วยสีหน้าเดือดดาล
“มีอย่างที่ไหนกัน! ช่างกล้าลอบสังหารฮูหยินกับลูกรักข้าในระยะที่ใกล้เสวียนจิงเช่นนี้ เห็นข้าเฉียนเชาเป็นรูปปั้นพระโพธิสัตว์หรืออย่างไร เด็กๆ !” เขาตะโกนออกไป
“นายท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้!”
ชายฉกรรจ์ร่างกายบึกบึนรีบเข้ามาโค้งคารวะ
“รีบส่งพี่น้องปาซื่อออกไปคุ้มกันพวกฮูหยินกลับเข้าเสวียนจิงโดยเร็ว อีกอย่าง ส่งคนไปบอกท่านอ๋องสามว่าข้าขอยืมให้หน่วยเงาปีศาจของเขา เพื่อตรวจสอบเรื่องบางอย่าง” ชายชุดคลุมผ้าดิ้นสั่งโดยไม่ต้องคิด
“ทราบ! ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” ชายฉกรรจ์รีบตอบรับในทันที จากนั้นก็คารวะก่อนที่จะถอยออกไป
“ฮึ! ข้าเฉียนเชามีลูกชายแค่คนเดียว ใครก็ตามที่คิดแตะต้องเขา ข้าจะไม่ละเว้นโดยเด็ดขาด” ชายชุดผ้าดิ้นทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวกับตนเอง
ขณะเดียวกัน ในห้องลับที่เร้นลับเป็นพิเศษซึ่งตั้งอยู่นอกเสวียนจิง ชายร่างอ้วนที่สวมชุดผ้าแพรต่วนเองก็โกรธจนเต้นแร้งเต้นกา
“ไร้ประโยชน์! ไอ้พวกไร้ประโยชน์ ผู้ฝึกปราณขั้นกลางตั้งสามคนลงมือพร้อมกันกับคนเยอะขนาดนี้ ก็ยังไม่สามารถจัดการพวกมันได้ ทั้งยังถูกพวกมันจัดการจนราบคาบ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่ข้าจะยืมผู้ฝึกปราณทั้งสามคนมาจากนายท่านได้ ตอนนี้ไปตายอยู่ที่นั่นกันหมดแล้ว จะให้ข้ากลับไปรายงานนายท่านว่าอย่างไร? ไป! ไสหัวไปให้ไกล ยิ่งไกลยิ่งดี!”
ชายร่างอ้วนสูงเจ็ดฉื่อกว่าๆ รูปร่างเต็มไปด้วยไขมัน ทำให้พุงกลมโตราวกับเป็นลูกหนังกลมๆ ขณะนี้ตากลมทั้งคู่ของเขาเบิกกว้าง และด่าชายรูปร่างผอมแห้งที่ดูคล้ายพ่อบ้านอย่างเกรี้ยวกราด
ชายที่ดูคล้ายพ่อบ้านมีสีหน้าตื่นตระหนกและไม่กล้าพูดแก้ตัวใดๆ แต่พอได้ยินประโยคสุดท้ายของขายร่างอ้วนถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา และถอยหัวซุกหัวซุนออกไปจากห้องลับ
“พี่มู่ ท่านใจกว้างกับลูกน้องไปหน่อย ถ้าเป็นคนของข้าทำผิดพลาดขนาดนี้ คงลากไปให้สุนัขกินตั้งนานแล้ว” ตรงมุมห้องลับยังมีเงาร่างที่มองเห็นไม่ชัดเจนนั่งอยู่บนเก้าอี้
“ฮึ! พ่อบ้านข้าติดตามข้ามาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ทั้งยังมีสายสัมพันธ์เป็นญาติห่างๆ กับฮูหยินข้า แม้ครั้งนี้จะทำงานไม่ราบรื่น แต่ก็ไม่ถึงกับต้องลงโทษรุนแรง” ชายร่างอ้วนสงบสติอารมณ์ได้แล้ว จึงตอบอย่างไม่มีทางเลี่ยง
“ท่านจะจัดการคนของท่านอย่างไร ข้าย่อมไม่ก้าวก่าย แต่งานนี้ล้มเหลวไปแล้ว แม้กระทั่งผู้ฝึกปราณทั้งสามคนก็เสียชีวิตไปด้วย คงไม่ใช่เรื่องดีที่จะให้ข้ากลับไปรายงานนายท่าน” เงาร่างพร่ามัวถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา
“คำพูดนี้หลอกคนอื่นได้ ใยต้องเอามารับมือกับข้าด้วย ถึงแม้ผู้ฝึกปราณสามคนจะหาได้ยากในเสวียนจิง แต่สำหรับนายท่านแล้วก็เป็นแค่ผู้คุ้มกันธรรมดาสามคนเท่านั้น นายท่านอยากได้ผู้คุ้มกันที่มีพลังระดับนี้ล้วนเป็นเรื่องง่ายดาย เจ้าเพียงแค่ช่วยข้าพูดดีๆ ไม่กี่ประโยค ข้าย่อมปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง” ชายร่างอ้วนได้ยินกลับทำตาขาวมองบนแล้วกล่าวออกมา
จากนั้นเขาก็หยิบถุงผ้าตุงนูนออกมาจากอก และโยนไปยังมุมห้องด้วยความปวดใจ
“เฮ่อๆ! ข้ารู้ว่าพี่มู่ไม่ใช่คนขี้เหนียวอย่างแน่นอน ได้! เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการเถอะ! แต่ท่านก็ต้องระวังไว้บ้าง การลงมือในครั้งนี้นับว่าฉีกหน้าเรือนร้อยวิญญาณไปแล้ว คนผู้นั้นมีอิทธิพลอยู่ในเสวียนจิงไม่น้อย เกรงว่าคงจะสืบมาถึงท่านโดยเร็ว” เงาร่างพร่ามัวรับถุงผ้ามาตรวจสอบแล้วก็กล่าวด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“เรื่องนี้เจ้าไม่พูดข้าก็ย่อมรู้ แต่สองตระกูลเราได้ต่อสู้กันในที่มืดมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ขอเพียงข้าไม่ไปจากเสวียนจิง เขาจะกล้ามาหาเรื่องข้าได้หรือ!” ชายร่างอ้วนแซ่มู่กล่าวอย่างไม่สนใจ
“ได้! พี่มู่มีแผนในใจก็พอแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้ากลับไปรายงานนายท่านก่อน” เงาร่างพร่ามัวพยักหน้ากล่าวออกมา จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วก็จมหายเข้าไปในผนังด้านหลังอย่างไร้ร่องรอย
ไม่คาดคิดว่าคนผู้นี้จะเป็นศิษย์จิตวิญญาณ
หลังจากเงาร่างพร่ามัวหายไปแล้ว ชายร่างอ้วนก็เดินวนอยู่ในห้องลับหลายรอบ ทันใดนั้นก็หยิบถ้วยชาบนโต๊ะเขวี้ยงลงพื้นจนแตกละเอียด ขณะเดียวกันก็พูดออกมาด้วยความเคียดแค้น
“เฉียนเชา ความอัปยศอดสูที่เจ้ามอบให้ข้าในก่อนหน้านั้น ข้าจะไม่ลืมเป็นอันขาด ครั้งนี้ถือว่าเจ้าโชคดี แต่ครั้งหน้าข้ามู่อิ่งเฉิงจะไม่พลาดอย่างแน่นอน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา