“มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่เวลาที่คนผู้นี้มาปรากฏตัวช่างบังเอิญไปหน่อย กอปรกับเรือนร้อยวิญญาณกำลังเกิดเรื่องวุ่นวาย ข้าอดที่จะระมัดระวังไม่ได้” ชายชุดคลุมผ้าดิ้นส่ายหน้ากล่าว
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนี้ล่ะก็คุณชายเฉียนคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะถ้าเขาเป็นคนที่ศัตรูของเราส่งตัวมาเรือนร้อยวิญญาณล่ะก็ ด้วยสถานะศิษย์จิตวิญญาณของเขา ผู้คนที่อยู่ตรงวัดดินนั้นจะมีใครสามารถต่อกรกับเขาได้? เขาสามารถจับตัวข้าสองแม่ลูกได้อย่างง่ายดาย โดยที่ท่านพี่ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย ข้ากลับคิดว่าคนผู้นี้อย่างมากก็เป็นผู้ฝึกฝนอิสระ และข้าก็คิดจะดึงเขามาเป็นคนของเรา เพื่อให้เรือนร้อยวิญญาณของเรามีความแข็งแกร่งมากขึ้น ถึงแม้เรือนร้อยวิญญาณของเราจะมีศิษย์จิตวิญญาณคอยดูแลอยู่ไม่น้อย แต่ส่วนมากก็ไปอยู่ตามสาขาในเขตอื่นๆ ทำให้ในเสวียนจิงไม่ค่อยแข็งแกร่งนัก” ฮูหยินหมีหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
“อืม! เหตุผลนี่ก็ไม่ผิด แต่ยังต้องตรวจสอบดูบ้าง ไปกันเถอะ! พวกเราไปดูว่าหู่เอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง คิดว่าตอนนี้ผู้อาวุโสเหมี่ยนคงจะตรวจเสร็จแล้ว” ชายชุดคลุมผ้าดิ้นยังคงไม่วางใจ ทันใดนั้นเขาก็พูดเรื่องเด็กชายขึ้นมา
“ผู้อาวุโสเหมี่ยนเป็นผู้ที่มีวิชาแพทย์สูงส่งที่สุดในเรือนร้อยวิญญาณของเรา ถ้ามีเขาช่วยแก้พิษนี้ล่ะก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมาก” ฮูหยินหมีได้ยินก็พยักหน้า
ดังนั้นคนทั้งสองก็ลุกขึ้น และหมุนตัวเดินออกไปยังประตูด้านข้าง เพื่อไปด้านหลังของจวน
ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองก็มาปรากฏตัวอยู่ในห้องนอนที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง ในนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นจางๆ ของโอสถ
เด็กชายที่ชื่อเฉียนหู่กำลังเอนตัวนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ด้านข้างมีผู้อาวุโสสวมชุดคลุมสีดำที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเมตตานั่งอยู่ เขากำลังฟั่นหนวดคิดใคร่ครวญอะไรบางอย่าง
หงเส่าก็ยืนอยู่ในห้องด้วยท่าทีสำรวม
“ผู้อาวุโสเหมี่ยน พิษในร่างของหู่เอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง คงไม่ร้ายแรงใช่ไหม?” พอชายชุดคลุมผ้าดิ้นเห็นผู้อาวุโส เขาก็ถามออกไปอย่างนอบน้อม
“เถ้าแก่เฉียน ช่างน่าละอายใจยิ่งนัก! พิษในร่างคุณชายดูแปลกประหลาดมาก เกรงว่าข้าจะไม่สามารถแก้ได้” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำยืนขึ้นแล้วส่ายหน้าก่อนที่จะกล่าวออกมา
“อะไรนะ เป็นไปไม่ได้ วิชาแพทย์ของผู้อาวุโสเหมี่ยนติดหนึ่งในสิบอันดับแรกของเสวียนจิงเชียวนะ” ชายชุดคลุมผ้าดิ้นได้ยินก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“พูดถึงเรื่องวิชาแพทย์ ข้าเองก็พอจะนับว่ามีความสามารถอยู่บ้าง แต่การแก้พิษกับวิชาแพทย์มันคนละเรื่องกัน พิษแปลกประหลาดบนโลกนี้มีมากมายนับไม่ถ้วน ถ้าจะมีพิษที่ข้าไม่สามารถแก้ได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ก่อนหน้านั้นข้าได้ตรวจสอบดูแล้ว เหมือนกับว่าพิษในร่างของคุณชายจะถูกขับออกไปบ้างแล้ว ขอเพียงแค่คนผู้นั้นใช้วิธีการขับพิษต่อไปแบบเดิม คุณชายก็คงจะไม่เป็นอะไรมาก” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวออกมา
“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา ผู้ที่แสดงวิชาขับพิษออกมาก่อนหน้านั้นได้พำนักอยู่ในจวนเฉียนชั่วคราว แต่หวังว่าท่านจะช่วยดูแลสุขภาพลูกชายข้าอย่างสุดความสามารถ” ฮูหยินหมีได้ยินก็กล่าวออกมาอย่างโล่งอก
“อืม! เรื่องนี้วางใจได้ ในเมื่อข้ามาถึงที่นี่แล้ว ย่อมไม่อาจนิ่งดูดายได้ อีกประเดี๋ยวข้าจะเขียนใบสั่งโอสถที่เชื่อถือได้ให้ ใช่สิ! ก่อนหน้านั้นได้ยินฮูหยินบอกว่าผู้ที่ขับพิษให้ก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณเหมือนกัน ให้ข้าพบเขาได้หรือไม่? ข้าสนใจวิธีขับพิษของเขามาก พอจะแลกเปลี่ยนกับวิชาแพทย์ได้บ้าง” ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา หงเส่า เจ้าพาผู้อาวุโสเหมี่ยนไปพบคุณชายเฉียนหน่อยเถอะ!” ชายชุดคลุมผ้าดิ้นเองก็กล่าวออกมาอย่างโล่งอก
“ทราบ!”
หงเส่าตอบรับกลับไป
“ไม่รีบ! ข้าจะเขียนใบสั่งโอสถให้คุณชายก่อน แล้วค่อยไปเยี่ยมเยียนคุณชายเฉียนก็ยังไม่สาย” ผู้อาวุโสเหมี่ยนได้ยินก็กล่าวอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็เดินเข้าไปนั่งข้างโต๊ะ และหยิบพู่กันออกมาด้ามหนึ่ง
หงเส่ารีบเดินเข้าไปช่วยเขาดึงกระดาษสีขาวออกมาแผ่นหนึ่ง และรีบฝนหมึกอย่างรวดเร็ว
……
ดูเหมือนว่าหลิ่วหมิงจะเดินวนอยู่ในห้องรับรองอยู่หลายรอบ ทันใดนั้นเขาก็ควักธงค่ายกลหลากสีออกมาหลายอัน และปักไปตามมุมห้องอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว
ธงค่ายกลทั้งหมดส่งเสียงดังหวึ่งๆ จากนั้นก็กลายเป็นไอหมอกก่อนที่จะสลายไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ถึงได้เผยสีหน้าพอใจออกมา
ถึงแม้ว่าเขาต้องใช้หินจิตวิญญาณเป็นจำนวนมากในการซื้อธงค่ายกลชุดนี้มาจากตลาดเว่ยโจว และยังมีประสิทธิภาพแค่ปิดกั้นกับระวังภัยเท่านั้น แต่มันเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวสำหรับนำมาวางไว้ในที่พักชั่วคราว
เช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนมาแอบฟังเขาพูดคุย หรือมีคนแอบลอบทำร้ายเขาจากที่อื่นอีก
เฉียนหรูผิงที่ยืนอยู่ข้างเขา ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นหลิ่วหมิงแสดงวิชา แต่ฉากอันมหัศจรรย์นี้ ยังคงทำให้นางตะลึงจนปากอ้าตาค้างอย่างอดไม่ได้
“พี่หมิง นี่คือสิ่งใด ใช่วิชาที่ท่านเคยพูดถึงในก่อนหน้านั้นไหม?” เด็กหญิงอดไม่ได้ที่จะถามออกไปตรงๆ
“นี่ไม่ใช่วิชา แต่เป็นค่ายกล” หลิ่วหมิงได้ยินก็อธิบายด้วยรอยยิ้ม
เขาตรวจดูร่างกายเฉียนหรูผิงแล้ว ค้นพบว่านางก็มีชีพจรจิตวิญญาณเหมือนกัน แม้ไม่อาจแยกแยะได้ว่าคุณสมบัติของนางเป็นอย่างไร แต่ในระหว่างทางเขาได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาควบแน่นลมปราณให้นางแล้ว
หลังจากที่นางเห็นเขาแสดงวิชาไปบ้างแล้ว นางย่อมฝึกฝนอย่างเพลิดเพลิน ด้วยเหตุนี้อะไรง่ายๆ ที่เกี่ยวข้องกับโลกการฝึกฝน หลิ่วหมิงก็ไม่คิดที่จะปิดบังนาง
ตอนนี้พอเฉียนหูรูผิงได้ยินคำว่า ‘ค่ายกล’ ก็เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกสนใจขึ้นมา และได้สอบถามหลิ่วหมิงอย่างละอียด
แต่คำถามของนางไร้เดียงสาเป็นอย่างมาก ทำให้หลิ่วหมิงยิ้มอย่างขมขื่นเพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร
แต่ขณะนั้นเองก็พลันมีเสียงแก่หง่อมดังเข้ามา
“สหายเฉียนอยู่ในห้องหรือไม่? ข้าเหมี่ยนซงซานขอเข้าไปคุยด้วยได้ไหม?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา