ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 176

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 176 อารามเสี่ยวชิง
ตอนที่ 176 อารามเสี่ยวชิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะนี้ ด้านหลังของเขาที่แต่เดิมไม่มีคนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ก็มีแสงเปล่งประกายออกมาจางๆ จากนั้นร่างของหลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวขึ้น หลังจากที่กวาดสายตามองชายชุดคลุมสีเทาบนพื้นแล้ว ก็กล่าวกับตนเองอย่างราบเรียบ

“วิธีบดบังสายตาง่ายๆ เช่นนี้ยังดูไม่ออก ดูท่าคงเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น”

จากนั้นเขาก็ยื่นมือคว้าไปในอากาศ ร่างที่ไม่ขยับเขยื้อนชายหนุ่มลอยขึ้นจากพื้นในทันที หลิ่วหมิงคว้าชายเสื้อแล้วดึงมาตรงหน้า มืออีกข้างก็ค้นสะเปะสะปะไปตามตัวของชายหนุ่ม แต่ก็ไม่เจออะไร

หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว และอ้าปากพ่นแสงสีดำใส่ใบหน้าของชายหนุ่มในทันที

ชายชุดคลุมสีเทาที่สลบอยู่ก็ค่อยๆ พื้นขึ้นมา แต่ชั่วเวลาที่ลืมตาขึ้นมานั้น ก็ต้องพบกับสายตาอีกคู่ที่มีแสงสีขาวเปล่งประกายออกมา

จิตรับรู้ของชายผู้นี้จมดิ่งลงไปทันที ดวงตาทั้งคู่เริ่มซึมกระทือขึ้นมา ขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีเสียงดังมาจากที่ไกลแสนไกลดังเข้ามาในหู

“เจ้าเป็นใคร? ใครใช้ให้เจ้าสะกดรอยข้าตั้งแต่ออกจากจวนเฉียน…”

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงคลายมือออก ร่างของชายผู้นี้ก็สลบแล้วล้มลงพื้นอีกครั้ง

“หอรวมสมบัติ! ดูท่าคงจะเป็นศัตรูของเรือนร้อยวิญญาณ แต่มันไม่เกี่ยวข้องกับข้ามากนัก ข้าไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจ” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำราวกับคิดอะไรอยู่ จากนั้นแสงสีขาวที่เปล่งประกายอยู่ในดวงตาก็ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติ

ที่เขาแสดงออกไปเมื่อครู่ไม่ใช่วิธีการสำรวจดูจิตวิญญาณแต่อย่างใด แต่เป็นการอาศัยพลังจิตอันแข็งแกร่งของตนเองในการสะกดจิตเท่านั้น

ถึงแม้วิธีการนี้จะใช้ไม่ได้ผลกับศิษย์จิตวิญญาณ แต่มันเหลือเฟือสำหรับใช้กับคนธรรมดาและผู้ฝึกปราณขั้นต่ำ

ขณะนี้หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียวอีกครั้ง เสียงดังราวกับประทัดดังขึ้นในร่างกาย ร่างของเขาขยายสูงขึ้นกว่าเดิมสองเท่าของความสูงของศีรษะ ตอนนี้เขากลายเป็นคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่บึกบึนมาก

จากนั้นมือทั้งสองก็ทำอะไรบางอย่างกับใบหน้าด้วยความรวดเร็ว จนกลายเป็นใบหน้าที่ดูโหดเหี้ยมขึ้น

หลิ่วหมิงตบลงไปบนแขนก่อนที่หอยสังข์ย่อส่วนจะปรากฏออกมา หลังจากที่ส่งพลังเวทย์เข้าไปเพียงเล็กน้อย ก็มีแสงสว่างม้วนตัวออกมาพร้อมกับชุดสีดำหนึ่งชุด

เขาถอดชุดสีเขียวบนตัวออกแล้วใส่เข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วน จากนั้นก็สวมชุดดำเข้าไป และเดินออกไปจากตรอกโดยไม่ยี่หระอะไรทั้งสิ้น

หนึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าที่ดูธรรมดาคันหนึ่ง ห้อตะบึงออกไปจากประตูทางด้านทิศตะวันตกของเสวียนจิง และเดินทางมาถึงเขาลูกเล็กๆ ที่มีทิวทัศน์สวยงาม

หลังจากที่รถม้าได้หยุดลง ประตูรถก็ถูกเปิดออกมา

ชายฉกรรจ์ชุดดำที่หลิ่วหมิงปลอมตัวมากระโดดลงจากรถ หลังจากที่หันไปโยนเงินก้อนหนึ่งให้กับคนขับรถแล้ว ก็เดินขึ้นไปตามทางเดินบนเขา

ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป เขาก็มาถึงหน้าอารามเต๋าอันเงียบสงัดเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ตรงไหล่เขา

อารามแห่งนี้กินพื้นที่ไม่ถึงหนึ่งหมู่ ประตูใหญ่ปิดแน่น และมีกำแพงหินสีแดงล้อมรอบ แต่เมื่อมองดูจากที่ไกลๆ แล้ว ห้องในอารามใหญ่รวมกันแล้วไม่น่าจะเกินห้าหกห้อง

หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองป้ายที่มีคำว่า ‘อารามเสี่ยวชิง’ แล้วก็ค่อยๆ ยิ้มออกมาทันที เขาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว เพื่อเคาะห่วงทองสัมฤทธิ์ที่ค่อนข้างใหญ่บนประตู

“ใครกัน? ถ้าเป็นประสกที่มาจุดธูปอธิษฐานขอพรล่ะก็ ขอได้โปรดอภัยที่ทางอารามของเราไม่รับแขกชั่วคราว ช่วงนี้เจ้าอารามก็กำลังถือสันโดษอยู่ ไม่สามารถรับแขกได้” ประตูใหญ่ยังไม่ทันได้เปิด แต่กลับมีเสียงใสแจ๋วของเด็กชายดังออกมาจากข้างใน

หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่กลับกล่าวออกไปอย่างราบเรียบ

“ข้าเป็นญาติจากแดนไกลของเจ้าอาราม มีเรื่องสำคัญต้องมาพบท่าน”

“อะไรนะ! ญาติของเจ้าอาราม? ถ้าอย่างนั้นโปรดรอสักครู่” ดูเหมือนเด็กชายจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

เสียงเท้าเล็กๆ ดังเข้ามา ประตูใหญ่ค่อยๆ เปิดออก นักพรตน้อยอายุราวๆ สิบสองสิบสามปีเดินออกมา และจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“ข้ามีสิ่งของยืนยันชิ้นหนึ่ง เอาไปให้เจ้าอารามดูแล้วเขาก็จะรู้เองว่าข้าคือใคร” หลิ่วหมิงมองนักพรตน้อยทีหนึ่ง แล้วหยิบหยกครึ่งชิ้นออกมาส่งให้นักพรตน้อย

“ประสกโปรดรอสักครู่ ข้าจะรีบไปรีบมา!” นักพรตน้อยลังเลเล็กน้อยแล้วรับชิ้นหยกมา จากนั้นก็ปิดประตูเข้าหากัน

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาเล็กน้อย และยืนรอที่เดิมอย่างเงียบๆ โดยไม่กล่าวอะไรออกมา

ผ่านไปไม่นาน ประตูใหญ่ก็เปิดออกอีกครั้ง นักพรตน้อยโค้งคำนับในเชิงขอโทษแล้วกล่าวออกมา

“เชิญประสกเข้ามาเถอะ! เจ้าอารามออกจากการเก็บตัวเข้าฌานแล้ว และกำลังรออยู่ในห้อง”

หลิ่วหมิงกวาดสายตามองนักพรตน้อยทีหนึ่ง แล้วก็ก้าวเข้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ภายใต้การนำของนักพรตน้อย เขาเดินทะลุไปยังประตูข้างอารามใหญ่ จนมาถึงกลางลานที่มีกำแพงกำแพงล้อมไว้อีกชั้นหนึ่ง ข้างในดูเงียบสงบเป็นอย่างมาก

“ประสกท่านนี้ ท่านเข้าไปได้แล้ว เจ้าอารามรออยู่ด้านใน” นักพรตน้อยเดินมาถึงหน้าห้องที่อยู่ข้างของโถงใหญ่แล้วกล่าวอย่างนอบน้อม

“ได้! เจ้ายังลืมอะไรไปหรือเปล่า?” หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วเดินเข้าไป แต่พอเดินเข้าไปถึงหน้าประตูห้องกลับชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับไปถามนักพรตน้อย

“อ๋อ! ใช่แล้ว นี่คือสิ่งของยืนยันที่ประสกให้ไว้ ท่านรับคืนไปเถอะ!” นักพรตน้อยได้ยินก็นึกขึ้นมาได้ เขารีบควักเอาหยกชิ้นนั้นออกมาจากอกแล้วประคองสองมือยื่นให้หลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงพยักหน้า แล้วคว้าแขนข้างหนึ่งออกไป

เสียงดัง “พลั่ก!”

แขนหลิ่วหมิงยกแขนขึ้นในทันที ฝ่ามือของเขาจับคอของนักพรตน้อยไว้แน่น เขาสะบัดเพียงแค่ทีเดียวก็บิดคอนักพรตน้อยจนหัก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา