บนแผ่นกระเบื้องมีคำว่า ‘หลิ่ว’ สลักไว้จางๆ
หลิ่วหมิงเลิกคิ้ว และใช้สองมือหนีบมันไว้ จากนั้นก็ออกแรงเล็กน้อย
“ฟู่!”
แผ่นกระเบื้องกลายเป็นผุยผง มีสิ่งของสองสิ่งหล่นออกมาจากในนั้น มันคือแหวนสีดำกับผ้าสีขาวที่มีอักขระจำนวนมากจารึกอยู่
หลิ่วหมิงคว้าของทั้งสองสิ่งไว้ จากนั้นก็ลอยเข้าหน้าต่างบานหนึ่งไปอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ จนเข้ามาถึงข้างในของหอชั้นสอง
เขาหยิบหยิบมุกวาวแววออกมาเม็ดหนึ่ง หลังจากกระตุ้นพลังเวทย์เล็กน้อย มันก็กลายเป็นแสงสีขาวลอยอยู่ตรงหน้า
หลิ่วหมิงนำของทั้งสองสิ่งมาตรวจดูอย่างละเอียด
แหวนวงนั้นดูไม่ค่อยเตะตามากนัก ราวกับว่าเป็นแหวนเหล็กธรรมดา แต่ด้านในแหวนกลับสลักดอกบัวบานไว้ดอกหนึ่ง แม้ว่าจะดูเล็กเป็นอย่างมาก แต่กลับงดงามละเอียดอ่อนราวกับมีชีวิต นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรพิเศษอีก
หลิ่วหมิงพลิกดูแหวนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นถึงเก็บมันเข้าไป และหยิบผ้าขาวขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าผ้าขาวนี้เคยผ่านการแช่น้ำยาพิเศษมาแล้ว ผ่านมาหลายปีเช่นนี้ อักขระสีดำบนนั้นยังคงแจ่มชัดเช่นเดิม ไม่มีการเลอะเลือนแม้แต่น้อย
อักขระเล็กๆ ที่เรียงเป็นระเบียบบนผ้าขาวนี้ เป็นลายมือของบิดาเขาอย่างแน่นอน
ระยะเวลาผ่านมานานหลายปีเช่นนี้ พอหลิ่วหมิงได้เห็นสิ่งที่คุ้นเคยก็ทำให้เขาใจลอยอย่างอดไม่ได้
เขาถอนหายใจเบาๆ และพยายามระงับความรู้สึกไว้ จากนั้นก็เขม้นมองสิ่งที่จารึกอยู่บนผ้าขาว
ผ่านไปไม่นาน เขาก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาถึงได้ถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะคลี่สิ่งของในมือออก และเปลวไฟก็ลุกไหม้ขึ้นในมือ มันเผาไหม้ผ้าขาวจนกลายเป็นขี้เถ้า
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ในอดีตท่านแม่คลอดข้าจนเสียชีวิตในหอแห่งนี้ ท่านพ่อก็เป็นคนสนิทของอ๋องสาม เพื่อรักษาชีวิตของพวกเราแม่ลูกไว้ ในปีนั้นถึงได้ขโมยแหวนที่เป็นของล้ำค่าของอ๋องสามวงนี้ แต่สุดท้ายก็ช่วยข้าไว้ได้แค่คนเดียว”
หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา ใบหน้าเขาถูกปกคลุมด้วยเงาสีดำ ทำให้มองไม่ออกว่าเขามีสีหน้าเป็นแบบใด
แต่เวลาต่อมา เขาก็อยู่ในหออย่างเงียบๆ ไม่จากไปไหน
จนถึงเวลาฟ้าสาง ถึงได้มีเงาร่างหนึ่งกระโดดออกไปนอกหน้าต่าง หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็หายวับไปจากกำแพงจวนอ๋องสามโดยไร้สุ้มเสียง
หลังจากผ่านไปไม่นาน ในมุมหนึ่งของหอเก่าแก่ในจวนอ๋องสาม ยันต์จำนวนมากที่ติดอยู่ตามผนังก็ค่อยๆ เปล่งประกายออกมา ทันใดนั้นมันก็ระเบิดออกมาพร้อมกัน เปลวไฟอันคุโชนพวยพุ่งออกมาในทันที
พริบตานั้น หอทั้งหลังก็ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟอันโชติช่วง
จนเมื่อทหารลาดตระเวนบุกเข้ามาจวนอ๋องสาม หอเก่าแก่ทั้งหลังก็อันตรธานหายไปแล้ว แต่สิ่งก่อสร้างที่อยู่ข้างๆ กลับไม่เป็นอะไรเลย ราวกับว่าไม่มีสะเก็ดไฟกระเด็นเข้าไปเลยแม้แต่นิดเดียว
พอทหารที่บุกเข้ามาได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้
……
เมื่อหลิ่วหมิงกลับถึงห้องลับภายในถ้ำก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนพรม เขาจ้องมองแหวนสีดำบนนิ้วด้วยความเคลิบเคลิ้ม และยังรับรู้ได้ถึงพลังฟ้าดินที่รวมตัวกันจางๆ ได้อย่างชัดเจน
คิดไม่ถึงว่าแหวนวงนี้จะสามารถรวบรวมพลังปราณเข้าด้วยกันได้ แม้ว่าพลังปราณเหล่านี้จะเป็นสิ่งเล็กน้อยสำหรับผู้ฝึกฝน แต่สำหรับคนธรรมดาแล้ว ถ้าพกแหวนวงนี้ติดตัวไว้ตลอดล่ะก็ เกรงว่ามันคงจะมีผลในการยืดอายุขัยได้จริงๆ
มิน่าอ๋องสามในปีนั้นถึงได้มองแหวนวงนี้เป็นสมบัติล้ำค่า แม้กระทั่งบิดาของเขาเปลี่ยนชื่อแซ่หลบซ่อนอยู่หลายปี ก็ยังส่งคนไปตามล่า เพื่อหาเบาะแสแหวนวงนี้อยู่ไม่หยุด
แต่สิ่งที่อ๋องสามผู้นี้คิดไม่ถึงก็คือ ตั้งแต่มารดาของเขาคลอดลูกจนเสียชีวิต บิดาของเขาก็ไม่เคยนำของสิ่งนี้ออกไปจากจวนเลย แต่กลับซ่อนไว้ในหอที่เคยอยู่ในตอนนั้น
ที่ทำให้หลิ่วหมิงแปลกใจยิ่งกว่าก็คือ อักขระในผ้าขาวนั้น บิดาของเขาไม่ได้กล่าวถึงญาติเลย ญาติทางฝั่งมารดายิ่งไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่อธิบายบอกสาเหตุที่มารดาเสียชีวิต กับสาเหตุที่เปลี่ยนชื่อแซ่แล้วหลบหนีไปจากจวนอ๋องสามเท่านั้น
และก็โชคดีที่อ๋องสามผู้นี้ตายในเงื้อมมือของผู้ฝึกฝนนอกรีตในพรรควิญญาณมืด มิเช่นนั้น แค้นที่ฆ่าบิดาคงไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้! ถ้าอ๋องสามผู้นี้มีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ล่ะก็ เขาคงต้องบุกเข้ามาเองแล้ว
พลันมีเสียงดังจากมือหลิ่วหมิง เปลวไฟสีแดงปรากฏขึ้นบนแหวนสีดำอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
แต่ครู่เดียว เปลวไฟทั้งหมดก็ถูกแหวนสีดำดูดเข้าไปจนหมดสิ้น และยังทำให้พลังฟ้าดินที่รวมกันบริเวณนั้นหนาแน่นมากยิ่งขึ้น
แสงเย็นสะท้านเปล่งประกายออกมา
หลิ่วหมิงพลิกมือข้างหนึ่ง และหยิบกระบี่สั้นสีเขียวออกมา จากนั้นก็ฟันลงบนตัวแหวน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา