ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 26

สรุปบท ตอนที่ 26 โอสถทิพย์และการทำความเข้าใจ: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปตอน ตอนที่ 26 โอสถทิพย์และการทำความเข้าใจ – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

ตอน ตอนที่ 26 โอสถทิพย์และการทำความเข้าใจ ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

แต่ว่าก่อนที่ฝึกฝนอย่างจริงจัง เขาต้องไปยอดเขาเก้าทารกเพื่อเอาโอสถทิพย์และวิชาง่ายๆ ในคัมภีร์โบราณก่อน

ตามที่เซวียหยวนไห่พูด สิ่งของเหล่านี้ไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย แต่เป็นสิ่งที่ศิษย์จิตวิญญาณที่ฝึกฝนในขั้นแรกไม่สามารถขาดได้

เมื่อหลิ่วหมิงตัดสินใจได้แล้ว ก็สวมใส่ชุดที่ได้รับ เดินออกไปจากที่พัก เดินไปตามทางคดเคี้ยวเล็กๆ มุ่งหน้าตรงไปยังยอดเขา

ในระหว่างทางเขาได้เจอกับศิษย์นอกนิกายที่แบกถุงหยาบๆ ใบใหญ่ หรือหิ้วห่อผ้าเล็กๆ เหมือนกัน เดินขึ้นลงเขา

คนเหล่านี้เมื่อเห็นชุดคลุมสีเขียวอ่อนที่หลิ่วหมิงสวมใส่อยู่ ต่างก็หลีกทางให้หลิ่วหมิงอย่างนอบน้อม เพื่อให้หลิ่วหมิงเดินไปก่อนแล้วจึงค่อยเดินต่อ

ดูเหมือนในนิกายปีศาจนี้ ศิษย์จิตวิญญาณและศิษย์นิกายสายนอกมีฐานะต่างกันราวฟ้ากับดิน ไม่สามารถพูดคุยคบหาสมาคมกันได้

ทางขึ้นไปยอดเขาเล็กๆ ลูกนี้ค่อนข้างสูง ถึงแม้เขาเคยฝึกเคล็ดการทรงตัวของร่างกาย ทั้งยังออกเดินทางจากไหล่เขา ก็ใช้เวลาไปทั้งหมดประมาณครึ่งชั่วยามถึงจะมาถึงยอดเขาได้

ชั่วพริบตาที่เท้าทั้งคู่ของหลิ่วหมิงเหยียบลงบนลานกว้างตรงยอดเขา เขาก็ตัดสินใจได้แล้ว รอเขาสามารถเปลี่ยนพลังภายในเป็นพลังเวทย์ได้แล้ว วิชาแรกที่เขาอยากฝึกคือวิชาทะยานเวหา

มิฉะนั้นล่ะก็ ถ้าจะไปยอดเขาอื่นที่ไกลกว่านี้ ต้องใช้เวลาไปกลับถึงครึ่งวัน ช่างไม่สะดวกเอาเสียเลย

ตอนที่หลิ่วหมิงเดินบนลานกว้างไปด้วย คิดใคร่ครวญไปด้วย ก็มีหญิงสาวคู่หนึ่งปรากฏตัวตรงหน้าของเขา

ในนั้นมีหญิงสาวหนึ่งที่รูปร่างอวบอ้วนมองดูเขา ทันใดนั้นนางก็ยิ้มหวานกล่าวออกมา

“เอ๋ นี่ไม่ใช่ศิษย์น้องไป๋หรอกเหรอ? อ้อศิษย์น้อง เจ้าไปเอาของที่หอภารกิจนอกหรือ”

หลิ่วหมิงตกใจเล็กน้อย แล้วจึงพบว่าหญิงสาวทั้งสองนางที่ปรากฏด้านหน้าก็คือศิษย์หญิงรูปโฉมงดงามที่เจอเมื่อวานตอนพบศิษย์เก่าที่สาขาเก้าทารกนี่เอง เขารีบชะงักฝีเท้าเพื่อแสดงความเคารพอย่างรวดเร็ว

“ที่แท้ก็คือศิษย์พี่ทั้งสองนี่เอง ศิษย์ไปหอภารกิจนอกเพื่อเอาโอสถทิพย์จริงๆ”

“อิๆ ดูเหมือนศิษย์น้องไป๋ยังไม่ทราบนามของเราสองคน จำให้ดีนะ ข้ามีนามว่ากู้เหมยซาน นี่คือศิษย์พี่ของเจ้านามว่าจูเหลียนซิง” กู้เหมยซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หญิงสาวรูปร่างผอมเพรียวที่อยู่ข้างๆ ได้ยินเพื่อนบอกชื่อของตัวเองให้กับเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหน้าแล้ว ก็หน้าแดงแล้วบ่นว่าเพื่อนที่อยู่ด้านข้าง แล้วจึงหันมาทักทายหลิ่วหมิง

“ศิษย์น้องจะต้องจดจำชื่อของศิษย์พี่ทั้งสองได้อย่างแน่นอน และจะไม่กล้าลืมโดยเด็ดขาด” หลิ่วหลิงตอบกลับอย่างซื่อๆ

“เอาล่ะ ศิษย์น้องไป๋รีบไปหอภารกิจนอกเถอะ หออยู่ทางนั้นถ้าหากไปช้าล่ะก็ อาจต้องรอถึงวันพรุ่งนี้ถึงได้โอสถทิพย์” กู้เหม่ยซานรู้สึกงงงัน แต่ก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วกล่าวออกไป

จากนั้นหญิงนางนี้ก็จับมือจูเหลียนซิง และทำท่ามือเพื่อแสดงวิชาทะยานเวหา

ครู่เดียวเมฆที่เท้าทั้งสองเหยียบอยู่ก็ลอยออกไป

หลิ่วหมิงรอจนทั้งสองไปไกลแล้วถึงละสายตามองไปทางที่กู้เหมยซานบอกและเดินไปทันที

เดินอ้อมผ่านสิ่งก่อสร้างสองสามแห่งก็มาถึงด้านหน้าของหอที่มีป้ายเขียนติดว่า ‘หอภารกิจนอก’

จะบอกว่าเป็นหอ แต่ก็เป็นแค่ห้องที่มีขนาดใหญ่สักหน่อยเท่านั้น

ตอนที่หลิ่วหมิงเดินเข้าไป มองเห็นชายสวมเสื้อศิษย์นอกนิกายคนหนึ่งอยู่พอดี เขากำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะตัวหนึ่ง ก้มหน้าคิดคำนวณอะไรบางอย่างเสียงดังกุกกัก กุกกัก โดยใช้ลูกคิดที่เปล่งประกายแสงสีทอง ด้านข้างยังมีสมุดบัญชีเล่มหนาเปิดอ้าอยู่

“อา! เป็นศิษย์พี่ที่มาใหม่ใช่ไหม มาเอาโอสถทิพย์หรือเปล่า?” ชายผู้นี้มีปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วมาก พอเห็นหลิ่วหมิงเข้ามาแล้ว ก็รีบวางมือจากงานที่ทำอยู่ ลุกขึ้นยืนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ใช่แล้ว ได้ยินว่าศิษย์ทั้งหมดต่างก็สามารถมารับโอสถทิพย์เพื่อใช้ในเวลาสามเดือนได้” หลิ่วหมิงถามโดยไม่ต้องคิด

“ใช่แล้ว ศิษย์พี่นำป้ายชื่อออกมาเถอะ ข้าจะบันทึกแล้วก็สามารถนำโอสถทิพย์ไปได้” ชายวัยกลางคนตอบกลับอย่างไม่รอรี

“ได้” หลิ่วหมิงหยิบป้ายชื่อออกมาจากอกอย่างไม่ลังเล แล้วยื่นให้ออกไป

ชายวัยกลางคนพลิกสมุดบัญชีที่อยู่ข้างๆ หน้าหนึ่ง รับป้ายชื่อมาแล้วกดลงไปด้านบนเบาๆ

ชื่อของไป๋ชงเทียนปรากฏออกมาในทันที แล้วก็ปรากฏชัดบนสมุดบัญชี

“ที่แท้ก็คือศิษย์พี่ไป๋ นี่คือโอสถทิพย์สำหรับสามเดือน ใช้ครั้งละหนึ่งเม็ด ก็ไม่ต้องกินข้าวได้สามวัน ดื่มน้ำสะอาดสักหน่อยก็พอแล้ว” ชายวัยกลางคนหันไปยังชั้นไม้ที่เต็มไปด้วยสิ่งของต่างๆ หยิบถุงผ้าสีเทาขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ และมอบมันพร้อมกับป้ายชื่อให้หลิ่วหมิงอย่างนอบน้อม

หลิ่วหมิงรับถุงผ้าและป้ายชื่อมาแล้ว ก็ถือโอกาสปลดเชือกที่อยู่ปากถุงและค่อยๆ เทลงบนฝ่ามือแล้ว เม็ดโอสถสีเหลืองอ่อนก็หล่นออกมา ส่งกลิ่นหอมบางๆ

เหมือนกับที่เซวียหยวนไห่บรรยายไว้ไม่มีผิด

หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วก็นำสิ่งของทั้งสองสิ่งเก็บให้เรียบร้อย คิดไปคิดมาแล้วจึงถามขึ้นอีกครั้ง

“ใช่สิ ข้าอยากไปเอาคัมภีร์โบราณวิชาทั่วไปมาอ่าน ข้าต้องไปที่ไหน”

“อ๋อ! ถ้าศิษย์พี่จะไปหอคัมภีร์โบราณล่ะก็ แค่ไปตามทางเล็กๆ หน้าประตูนี้ แล้วจะเจอมันที่โค้งข้างหน้า” ชายวัยกลางคนบอกอย่างละเอียด

เมื่อหลิ่วหมิงกลับถึงที่พัก ก็เป็นช่วงเวลาบ่ายแล้ว

เขาไม่มีความคิดที่พักผ่อนเลยแม้แต่น้อย แต่กลับหิ้วน้ำใสสะอาดเข้ามาหนึ่งถัง ในห้องนี้นอกจากเบาะนั่งกลมๆ แผ่นหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของใดอยู่ในห้องอีก เขานั่งขัดสมาธิลงไป

เขาหยิบถุงผ้าเล็กๆ ที่ใส่โอสถทิพย์ออกมา เทมันออกมาหนึ่งเม็ดแล้วโยนเข้าปากทันที

ดูเหมือนว่าโอสถทิพย์แข็งๆ พอเข้าไปในปากก็กลายเป็นน้ำไหลลงสู่ท้องทันที

ตามด้วยความรู้สึกอบอุ่นชื่นมื่นขยายไปทั่วกาย และยังรู้สึกถึงการพองตัวในกระเพาะ

หลังจากหลิ่วหมิงสัมผัสได้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

โอสถทิพย์วิเศษเช่นนี้ ช่างเกินความคาดหมายของเขาไปมาก ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ เขาก็ไม่ต้องทนรำคาญใจกับปัญหาเรื่องการกินข้าวเลยแม้แต่น้อย ขอแค่ตั้งใจฝึกฝนก็พอแล้ว

พอคิดมาถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงก็ขยับแขนนำคัมภีร์เคล็ดวิชากระดูกดำเล่มนั้นออกมาจากอก แล้วอ่านตั้งแต่แรกเริ่มอย่างละเอียด

ถึงแม้ก่อนหน้านี้เวลาส่วนมากของหลิ่วหมิงล้วนอยู่บนเกาะมฤตยูเป็นส่วนมาก แต่มีผู้อาวุโสที่มีความรู้จำนวนไม่น้อย บวกกับที่เขามีพรสวรรค์ในการแบ่งจิตให้ทำงานสองสิ่งพร้อมกันได้ ดังนั้นเขาจึงสอบถามหาความรู้จากบุคคลเหล่านี้มาได้มากมาย เกรงว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าบุคคลที่มีพรสวรรค์นอกเกาะด้วยซ้ำ

ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ แต่เมื่อเขาอ่านเคล็ดวิชากระดูกดำไปหนึ่งรอบ ก็รู้สึกว่าแต่ละประโยคนั้นลึกซึ้ง อักขระแต่ตัวล้ำลึกและมหัศจรรย์ ไม่สามารถใช้เวลาสั้นๆ ในการทำความเข้าใจได้

หลิ่วหมิงแอบตกใจ สีหน้าเคร่งเครียดแล้วใช้นิ้วกดไปยังขมับทั้งสองข้าง และหายใจเข้าลึกๆ แล้วใช้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลัง จิตหนึ่งดวงแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งทำความเข้าใจกับเคล็ดวิชา อีกส่วนหนึ่งก็เริ่มเข้าสู่การพักผ่อน

ผ่านไปไม่นานจิตของหลิ่วหมิงก็จมเข้าไปสู่การทำความเข้าใจในเคล็ดวิชาอย่างถึงที่สุด โดยไม่รับรู้เรื่องราวภายนอกเลย

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เมื่อเสียงท้องร้องอย่างรุนแรงเข้ามาในสมอง ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ตื่นขึ้นมา พอลุกขึ้นยืนก็รู้สึกหนักศีรษะในทันที ตาทั้งสองมืดดำ จนเกือบจะล้มลงไปที่พื้น

หน้าของเขาเปลี่ยนสี เขารีบหยิบโอสถทิพย์จากอกมากิน แล้วหยิบถังไม้เข้ามาดื่มอย่างกระหาย สีหน้าถึงดีขึ้นมาหน่อย

แต่ตอนนี้หลิ่วหมิงยังคงรู้สึกปวดศีรษะราวกับจะระเบิดออกมา ส่อให้เห็นว่าสิ้นเปลืองพลังจิตมากเกินไป

การทำความเข้าใจก่อนหน้านั้น เขาใช้เวลาไปทั้งหมดห้าวันห้าคืนโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ใช่เพราะว่ารู้สึกหิวจนไม่สามารถจะทนได้ อาจจะจมอยู่กับการทำความเข้าใจจนไม่อาจหลุดออกมาได้

เคล็ดวิชากระดูกดำนี้ช่างชั่วร้ายจริงๆ

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา