แต่สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงกลุ้มใจไปกว่าก็คือ ขั้นแรกของเคล็ดวิชากระดูกดำเขาเข้าใจแค่สามถึงสี่ในสิบส่วนเท่านั้นเอง
เคล็ดวิชานี้กับวิชาที่เขาฝึกตอนเป็นผู้ฝึกปราณต่างกันโดยสิ้นเชิง อักขระบางตัวและประโยคบางประโยคดูเหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่ ทำให้เขายากที่จะเข้าใจความหมายของมันจริงๆ
ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ถ้าเขาไม่ขอให้คนอื่นชี้แนะให้ละเอียดทีละประโยค ก็ต้องตั้งใจหาอ่านคัมภีร์โบราณที่เกี่ยวข้องสักหน่อย ตนเองก็อาจจะอนุมานความรู้ที่เจอกับความรู้ที่ตัวเองมีจนเข้าใจอย่างซาบซึ้งได้
แต่อาจารย์อาหร่วนเคยเตือนไว้ว่า เคล็ดวิชากระดูกดำนี้ไม่สามารถให้ผู้อื่นรู้ได้ ดูเหมือนคงมีแค่ทางเลือกที่สองเท่านั้น
เมื่อเขามีแผนในใจแล้ว เขาก็เก็บคัมภีร์เข้าผ้าแพร จากนั้นจึงออกไปจากที่พักเพื่อไปหอคัมภีร์โบราณอีกครั้ง
พอเขากลับมาพร้อมคัมภีร์ประสบการณ์หนาๆ สองเล่ม หินจิตวิญญาณของเขาที่เหลือแค่สองอันก็หายไปด้วยแล้ว
แต่ใบหน้าของหลิ่วหมิงแฝงไปด้วยความตื่นเต้น
เพราะว่าคัมภีร์ประสบการณ์ทั้งสองเล่มนี้ เป็นคัมภีร์ที่เขียนขึ้นโดยสองอาจารย์จิตวิญญาณชั้นผู้ใหญ่ของนิกาย ในนี้อธิบายเคล็ดบางอย่างในวิชาพื้นฐานได้ละเอียดเป็นอย่างมาก และเป็นสิ่งที่เขากำลังต้องการอยู่พอดี
เขากลับถึงที่พักแล้วกลับไม่ได้ทำความเข้าอย่างซาบซึ้งในทันที แต่กลับเข้าไปในห้องนอนแล้วขึ้นเตียงนอนหลับ
เขานอนไปหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน
ตอนที่หลิ่วหมิวลืมตาทั้งสองข้างขึ้นอีกครั้ง เขารีบเดินไปล้างหน้าตรงลานหน้าที่พัก เสร็จแล้วก็รีบเข้ามาในห้องฝึกฝน
เขานั่งขัดสมาธิลง นำคัมภีร์หนาๆ ทั้งสองเล่มกับคัมภีร์เคล็ดวิชากระดูกดำเปิดวางไว้ด้านหน้า เขาลังเลเล็กน้อยแล้วหยิบถุงผ้าเล็กๆ ออกมาจากอก และเทโอสถทิพย์หลายเม็ดมาหนีบไว้ในคัมภีร์เคล็ดวิชากระดูกดำสองหน้า
ถ้าทำแบบนี้ล่ะก็ เขาก็จะไม่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์แบบครั้งก่อนที่เกือบจะทำให้เขาหิวตาย
หลิ่วหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง แล้วก็พลิกคัมภีร์โบราณเล่มหนาขึ้นมา เขาจมดิ่งเข้าไปในนั้นเหมือนครั้งก่อนอย่างรวดเร็ว
ครึ่งเดือนผ่านไป มีเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังออกมาจากในห้อง
หลิ่วหมิงลุกขึ้นยืนแล้วเงยหน้าหัวเราะลั่น
เขาในตอนนี้ผมยาวกระเซิง เสื้อผ้าเต็มไปด้วยยับย่น แม้แต่ร่างกายก็มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวลอยออกมา
ไม่แปลกที่หลิ่วหมิงจะมีสภาพเช่นนี้!
สิบกว่าวันนี้ เวลาที่เขาหิวก็กินโอสถทิพย์หนึ่งเม็ด กระหายก็อื่มน้ำสะอาดสักอึก ง่วงก็ไปนอน โดยไม่ได้ออกจากห้องเลยแม้แต่ก้าวเดียว
แต่ก็ด้วยเหตุนี้เอง ในที่สุดเขาก็สามารถเข้าใจวิชากระดูกดำขั้นแรกอย่างซาบซึ้ง ต่อไปก็แค่ค่อยๆ ฝึกฝนตามขั้นตอน
พอหลิ่วหมิงระงับความความดีใจได้ ก็ค้นพบว่าร่างกายตัวเองอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้ เขาขมวดคิ้วและหิ้วถังไม้ออกไปจากห้อง
เขาจัดการตัวเองอย่างคล่องแคล่วว่องไว ถอดเสื้อผ้าที่สวมใส่ออกจนหมด แล้วยกน้ำจากถังราดจากหัวจรดเท้า พอน้ำถูกตัวความรู้สึกเย็นสดชื่นก็เข้ามาทันที
หลิ่วหมิงสะบัดผมที่เปียก แล้วนำเสื้อมามาสวมใส่อีกครั้งอย่างไม่ใส่ใจ แล้วกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง
ชุดสยบฝุ่นของเขาตัวนี้ ไม่รู้ว่าถักทอมาจากวัสดุอันใด ผ่านมานานขนาดนี้ไม่เพียงแต่จะไม่สกปรก แม้แต่โดนน้ำสาดน้ำก็ไหลลงข้างล่างอย่างรวดเร็ว โดยชุดไม่เปียกน้ำเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงนั่งลงอีกครั้ง เขาไม่ได้เริ่มฝึกเคล็ดวิชากระดูกดำ แต่นำคัมภีร์วิชาทะยานเวหาและคัมภีร์อื่นๆ ที่เขายืมมาทั้งหมดสามเล่มออกมา แล้วเริ่มท่องจำสิ่งที่บันทึกอยู่ในนั้นอย่างเงียบๆ
ก่อนหน้านั้นที่อ่านยังมีบางคำที่คลุมเครือยากต่อการเข้าใจ แต่ตอนนี้กลับเข้าใจได้อย่างรื่นไหลมาก
เขาเหมือนกับใช้เวลาไปทั้งหมดสองชั่วยาม ก็สามารถจดจำวิธีการฝึกฝนทั้งสามวิชานี้ได้จนหมด
หลิ่วหมิงคลายลมหายใจออกมาสบายๆ แล้วนำคัมภีร์ทั้งหมดไปวางไว้ด้านหนึ่ง ยกเว้นคัมภีร์เคล็ดวิชากระดูกดำ จากนั้นก็หลับตาลงทั้งสองข้าง มือสองข้างวางอยู่บนเข่าด้วยท่ามือแปลกๆ
จากนั้นเพียงครู่เดียว เขาก็รู้สึกถึงสภาพจิตที่หนักหน่วง จนรู้สึกว่าจมเข้าไปในร่างกายของตนเอง และสามารถมองเห็นสภาพทั้งหมดของพลังภายในที่มีแสงสว่าง
เส้นชีพจรธรรมดาแต่ละเส้นพันรอบสามชีพจรจิตวิญญาณขนาดใหญ่ทั่วร่างกาย และทะเลจิตวิญญาณสีเงินขนาดเท่ากำปั้นที่อยู่อย่างสงบตรงจุดตันเถียน
จิตของหลิ่วหมิงค่อยๆ ขยับ ทะเลจิตวิญญาณก็เริ่มค่อยๆ เคลื่อนไหวขึ้นมาทันที ทั้งยังเคลื่อนไหวเร็วขึ้นกว่าเดิม
หลังจากที่มีเสียงดัง “โพล๊ะ! โพล๊ะ!” มีพลังภายในสีขาวกว่าร้อยเส้นพุ่งออกมาจากทะเลจิตวิญญาณ และยังไหลไปตามเว้นชีพจรต่างๆ ทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว
และในที่สุดเขาก็บรรลุก้าวเข้าสู่ขั้นแรกของเคล็ดวิชากระดูกดำได้สำเร็จ
สามวันต่อมา หลิ่วหมิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น แต่ในปากก็ร่ายคาถาไม่หยุด มือทั้งสองทำท่ามือบางอย่างอยู่
ตอนนี้ด้านล่างของเขามีไอหมอกสีเทาปรากฏออกมา และยิ่งปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน มันก็เกาะตัวกันเป็นกลุ่มเมฆขนาดเล็ก
“ลอย”
พอหลิ่วหมิงเห็นกลุ่มเมฆที่รวมตัวกันแล้ว เขาก็ไม่ลังเลที่จะเปลี่ยนท่ามือ
เสียงดัง “ครืด!” กลุ่มเมฆก็ค่อยๆ พาร่างของเขาลอยสูงขึ้นมา
หลิ่วหมิงเห็นดังนั้นรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่ท่ามือได้เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่รู้ตัว
เสียงดัง “โครม!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา