ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 27

สรุปบท ตอนที่ 27 สำเร็จวิชาขั้นต้น: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปตอน ตอนที่ 27 สำเร็จวิชาขั้นต้น – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

ตอน ตอนที่ 27 สำเร็จวิชาขั้นต้น ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

แต่สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงกลุ้มใจไปกว่าก็คือ ขั้นแรกของเคล็ดวิชากระดูกดำเขาเข้าใจแค่สามถึงสี่ในสิบส่วนเท่านั้นเอง

เคล็ดวิชานี้กับวิชาที่เขาฝึกตอนเป็นผู้ฝึกปราณต่างกันโดยสิ้นเชิง อักขระบางตัวและประโยคบางประโยคดูเหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่ ทำให้เขายากที่จะเข้าใจความหมายของมันจริงๆ

ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ถ้าเขาไม่ขอให้คนอื่นชี้แนะให้ละเอียดทีละประโยค ก็ต้องตั้งใจหาอ่านคัมภีร์โบราณที่เกี่ยวข้องสักหน่อย ตนเองก็อาจจะอนุมานความรู้ที่เจอกับความรู้ที่ตัวเองมีจนเข้าใจอย่างซาบซึ้งได้

แต่อาจารย์อาหร่วนเคยเตือนไว้ว่า เคล็ดวิชากระดูกดำนี้ไม่สามารถให้ผู้อื่นรู้ได้ ดูเหมือนคงมีแค่ทางเลือกที่สองเท่านั้น

เมื่อเขามีแผนในใจแล้ว เขาก็เก็บคัมภีร์เข้าผ้าแพร จากนั้นจึงออกไปจากที่พักเพื่อไปหอคัมภีร์โบราณอีกครั้ง

พอเขากลับมาพร้อมคัมภีร์ประสบการณ์หนาๆ สองเล่ม หินจิตวิญญาณของเขาที่เหลือแค่สองอันก็หายไปด้วยแล้ว

แต่ใบหน้าของหลิ่วหมิงแฝงไปด้วยความตื่นเต้น

เพราะว่าคัมภีร์ประสบการณ์ทั้งสองเล่มนี้ เป็นคัมภีร์ที่เขียนขึ้นโดยสองอาจารย์จิตวิญญาณชั้นผู้ใหญ่ของนิกาย ในนี้อธิบายเคล็ดบางอย่างในวิชาพื้นฐานได้ละเอียดเป็นอย่างมาก และเป็นสิ่งที่เขากำลังต้องการอยู่พอดี

เขากลับถึงที่พักแล้วกลับไม่ได้ทำความเข้าอย่างซาบซึ้งในทันที แต่กลับเข้าไปในห้องนอนแล้วขึ้นเตียงนอนหลับ

เขานอนไปหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน

ตอนที่หลิ่วหมิวลืมตาทั้งสองข้างขึ้นอีกครั้ง เขารีบเดินไปล้างหน้าตรงลานหน้าที่พัก เสร็จแล้วก็รีบเข้ามาในห้องฝึกฝน

เขานั่งขัดสมาธิลง นำคัมภีร์หนาๆ ทั้งสองเล่มกับคัมภีร์เคล็ดวิชากระดูกดำเปิดวางไว้ด้านหน้า เขาลังเลเล็กน้อยแล้วหยิบถุงผ้าเล็กๆ ออกมาจากอก และเทโอสถทิพย์หลายเม็ดมาหนีบไว้ในคัมภีร์เคล็ดวิชากระดูกดำสองหน้า

ถ้าทำแบบนี้ล่ะก็ เขาก็จะไม่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์แบบครั้งก่อนที่เกือบจะทำให้เขาหิวตาย

หลิ่วหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง แล้วก็พลิกคัมภีร์โบราณเล่มหนาขึ้นมา เขาจมดิ่งเข้าไปในนั้นเหมือนครั้งก่อนอย่างรวดเร็ว

ครึ่งเดือนผ่านไป มีเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังออกมาจากในห้อง

หลิ่วหมิงลุกขึ้นยืนแล้วเงยหน้าหัวเราะลั่น

เขาในตอนนี้ผมยาวกระเซิง เสื้อผ้าเต็มไปด้วยยับย่น แม้แต่ร่างกายก็มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวลอยออกมา

ไม่แปลกที่หลิ่วหมิงจะมีสภาพเช่นนี้!

สิบกว่าวันนี้ เวลาที่เขาหิวก็กินโอสถทิพย์หนึ่งเม็ด กระหายก็อื่มน้ำสะอาดสักอึก ง่วงก็ไปนอน โดยไม่ได้ออกจากห้องเลยแม้แต่ก้าวเดียว

แต่ก็ด้วยเหตุนี้เอง ในที่สุดเขาก็สามารถเข้าใจวิชากระดูกดำขั้นแรกอย่างซาบซึ้ง ต่อไปก็แค่ค่อยๆ ฝึกฝนตามขั้นตอน

พอหลิ่วหมิงระงับความความดีใจได้ ก็ค้นพบว่าร่างกายตัวเองอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้ เขาขมวดคิ้วและหิ้วถังไม้ออกไปจากห้อง

เขาจัดการตัวเองอย่างคล่องแคล่วว่องไว ถอดเสื้อผ้าที่สวมใส่ออกจนหมด แล้วยกน้ำจากถังราดจากหัวจรดเท้า พอน้ำถูกตัวความรู้สึกเย็นสดชื่นก็เข้ามาทันที

หลิ่วหมิงสะบัดผมที่เปียก แล้วนำเสื้อมามาสวมใส่อีกครั้งอย่างไม่ใส่ใจ แล้วกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง

ชุดสยบฝุ่นของเขาตัวนี้ ไม่รู้ว่าถักทอมาจากวัสดุอันใด ผ่านมานานขนาดนี้ไม่เพียงแต่จะไม่สกปรก แม้แต่โดนน้ำสาดน้ำก็ไหลลงข้างล่างอย่างรวดเร็ว โดยชุดไม่เปียกน้ำเลยแม้แต่น้อย

หลิ่วหมิงนั่งลงอีกครั้ง เขาไม่ได้เริ่มฝึกเคล็ดวิชากระดูกดำ แต่นำคัมภีร์วิชาทะยานเวหาและคัมภีร์อื่นๆ ที่เขายืมมาทั้งหมดสามเล่มออกมา แล้วเริ่มท่องจำสิ่งที่บันทึกอยู่ในนั้นอย่างเงียบๆ

ก่อนหน้านั้นที่อ่านยังมีบางคำที่คลุมเครือยากต่อการเข้าใจ แต่ตอนนี้กลับเข้าใจได้อย่างรื่นไหลมาก

เขาเหมือนกับใช้เวลาไปทั้งหมดสองชั่วยาม ก็สามารถจดจำวิธีการฝึกฝนทั้งสามวิชานี้ได้จนหมด

หลิ่วหมิงคลายลมหายใจออกมาสบายๆ แล้วนำคัมภีร์ทั้งหมดไปวางไว้ด้านหนึ่ง ยกเว้นคัมภีร์เคล็ดวิชากระดูกดำ จากนั้นก็หลับตาลงทั้งสองข้าง มือสองข้างวางอยู่บนเข่าด้วยท่ามือแปลกๆ

จากนั้นเพียงครู่เดียว เขาก็รู้สึกถึงสภาพจิตที่หนักหน่วง จนรู้สึกว่าจมเข้าไปในร่างกายของตนเอง และสามารถมองเห็นสภาพทั้งหมดของพลังภายในที่มีแสงสว่าง

เส้นชีพจรธรรมดาแต่ละเส้นพันรอบสามชีพจรจิตวิญญาณขนาดใหญ่ทั่วร่างกาย และทะเลจิตวิญญาณสีเงินขนาดเท่ากำปั้นที่อยู่อย่างสงบตรงจุดตันเถียน

จิตของหลิ่วหมิงค่อยๆ ขยับ ทะเลจิตวิญญาณก็เริ่มค่อยๆ เคลื่อนไหวขึ้นมาทันที ทั้งยังเคลื่อนไหวเร็วขึ้นกว่าเดิม

หลังจากที่มีเสียงดัง “โพล๊ะ! โพล๊ะ!” มีพลังภายในสีขาวกว่าร้อยเส้นพุ่งออกมาจากทะเลจิตวิญญาณ และยังไหลไปตามเว้นชีพจรต่างๆ ทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว

และในที่สุดเขาก็บรรลุก้าวเข้าสู่ขั้นแรกของเคล็ดวิชากระดูกดำได้สำเร็จ

สามวันต่อมา หลิ่วหมิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น แต่ในปากก็ร่ายคาถาไม่หยุด มือทั้งสองทำท่ามือบางอย่างอยู่

ตอนนี้ด้านล่างของเขามีไอหมอกสีเทาปรากฏออกมา และยิ่งปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน มันก็เกาะตัวกันเป็นกลุ่มเมฆขนาดเล็ก

“ลอย”

พอหลิ่วหมิงเห็นกลุ่มเมฆที่รวมตัวกันแล้ว เขาก็ไม่ลังเลที่จะเปลี่ยนท่ามือ

เสียงดัง “ครืด!” กลุ่มเมฆก็ค่อยๆ พาร่างของเขาลอยสูงขึ้นมา

หลิ่วหมิงเห็นดังนั้นรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่ท่ามือได้เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่รู้ตัว

เสียงดัง “โครม!”

ส่วนวิชาอัคคีแผดเผา และวิชาปั้นน้ำก็ฝึกฝนจนค่อนข้างชำนาญเช่นกัน

แต่เสียดายที่วิชาเหล่านี้ล้วนเป็นวิชาที่ง่ายที่สุด ส่วนมากก็เป็นแค่วิชาที่ให้ศิษย์ที่เพิ่งเข้านิกายฝึกฝนเพื่อใช้งานเท่านั้น คิดที่จะใช้มันต่อสู้กับศัตรู แน่นอนว่ามันเป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน

ดูเหมือนว่าไปหอคัมภีร์โบราณครั้งต่อไป จะต้องเลือกวิชาที่ใช้ในการต่อสู้จริงๆ มาสักสองวิชา

แต่พอคิดมาถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงก็คิดถึงศิษย์พี่เจ้าคนนั้นขึ้นมาทันที กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ใช่สิ! พูดถึงหินจิตวิญญาณ! ตนเองเข้านิกายมาก็ใกล้จะหนึ่งเดือนแล้ว ควรจะไปรับภารกิจที่หอดำเนินการได้แล้ว มิเช่นนั้นเดือนหน้าก็จะไม่มีหินจิตวิญญาณแม้แต่ก้อนเดียว

พอหลิ่วหมิงนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เขารีบกลับไปนั่งขัดสมาธิในห้องแล้วค่อยๆ ฟื้นฟูพลังของตัวเอง

ดีที่ว่าเขามีพลังไม่มาก จึงใช้เวลาในการฟื้นฟูไม่นาน

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขานั่งอยู่บนก้อนเมฆสีเทาอีกครั้ง และลอยตรงไปยังหอดำเนินการ

ครั้งนี้พอหลิ่วหมิงเดินเข้าไปในประตูใหญ่ของหอดำเนินการแล้ว ก็แสดงสีหน้าตะลึงงันอย่างอดไม่ได้

เขาเห็นกลุ่มคนจำนวนมากเดินจอแจอยู่ในโถงใหญ่แน่นไปหมด มีทั้งหมดประมาณห้าสิบหกสิบกว่าคน ส่วนมากเป็นศิษย์สายนอก แต่ก็มีศิษย์สายในเจ็ดแปดคนเบียดเสียดอยู่ในนั้น

“ศิษย์พี่ท่านนี้ ข้าถามหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น? ปกติที่นี่มีคนเยอะขนาดนี้หรือ?” หลิ่วหมิงกะพริบตา แล้วก้าวสองสามก้าวไปยังแถวประตู คารวะศิษย์สายในคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะอายุยี่สิบกว่าปี แล้วเอ่ยปากถามขึ้น

“อ้อ! ศิษย์น้องท่านนี้เพิ่งจะเข้ามาใหม่ใช่หรือไม่ เฮ่อๆ วันนี้เป็นวันที่หอดำเนินการทำการสับเปลี่ยนภารกิจแต่ละอย่างพอดี คนจำนวนมากต่างก็รีบมากันแต่เช้า เพื่อเลือกภารกิจที่ดีกว่าหน่อย แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องที่เสียแรงเปล่าๆ ภารกิจเหล่านั้นมีคนติดสินบนจองตั้งแต่แรกแล้ว” ศิษย์สายในผู้นี้สุภาพอ่อนโยนมาก ที่เอวมีผ้าแถบเอวสีเขียวแก่ขนาดใหญ่คาดอยู่ เขามองดูหลิ่วหมิงสักครู่ แล้วก็อธิบายออกมาอย่างใส่ใจ

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ขอบคุณศิษย์พี่ที่บอก” หลิ่วหมิงพอจะเข้าใจสักหน่อยแล้ว

“เฮ่อๆ ข้ามีนามว่าหลี่จง สังกัดสาขาฝึกศพ ไม่ทราบว่าศิษย์น้องมีนามว่าอะไร สังกัดสาขาไหน” เมื่อศิษย์สายในผู้นี้เห็นว่าหลิ่วหมิงอายุยังน้อย แต่กลับมีมารยาทและสุภาพเรียบร้อยแบบนี้ ทำให้เขาอดที่จะรู้สึกดีด้วยไม่ได้ เลยถามถามกลับไปหนึ่งประโยค

“ข้าน้อยไป๋ชงเทียน ตอนนี้สังกัดสาขาเก้าทารก” หลิ่วหมิงบอกอย่างไม่ปิดบัง

“อ๋อ! ที่แท้ศิษย์น้องก็สังกัดสาขาของอาจารย์ลุงกุยนี่เอง สาขาเก้าทารกอ่อนแอมาหลายปี อนาคตภายภาคหน้าคงจะไม่ค่อยดีมากนัก” หลี่จงได้ยินกลับอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเห็นใจออกมา

“พอได้อยู่กระมัง ข้าน้อยคิดว่าศิษย์พี่แต่ละคนต่างก็ดูแลศิษย์น้องได้ค่อนข้างดี” หลิ่วหมิงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติ

“เฮ่อๆ ภายในสาขาแต่ละสาขาต่างก็มีความสนิทสนมกลมเกลียวกันดีอยู่หรอก แต่พอถึงตอนที่การทดสอบประลองฝีมือขนาดใหญ่ เจ้าก็จะรู้ถึงความทุกข์ทรมานในการเข้าร่วมสาขาที่อ่อนแอ” หลี่จงกลับส่ายหน้าแล้วกล่าวออกมา

“อ๋อ การประลองใหญ่! การทดสอบ! ถึงแม้ศิษย์น้องจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจอย่างเป็นรูปธรรมมากนัก ศิษย์พี่หลี่สามารถเล่าให้ศิษย์น้องฟังได้ไหม?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ใจเต้นขึ้นมา

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา