สรุปเนื้อหา ตอนที่ 28 ภารกิจในนิกาย – ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet
บท ตอนที่ 28 ภารกิจในนิกาย ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
“เรื่องนี้…เอาล่ะ ต่อไปศิษย์น้องก็จะรู้เอง ข้าจะเล่าให้ฟังสักเล็กน้อยแล้วกัน” หลี่จงลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด
“นิกายของเรามีการประลองเล็กปีละครั้ง การประลองใหญ่สามปีครั้ง การทดสอบสิบปีครั้ง การประลองเล็กเป็นการจัดแข่งขันกันในแต่ละสาขา ก็แค่ทดสอบดูความก้าวหน้าของศิษย์ในสาขา จากนั้นก็จะมีผู้อาวุโสในสาขามอบรางวัลให้ การประลองแบบนี้ถึงแม้มีข้อดีไม่มาก แต่โดยทั่วไปก็เป็นการเสริมสร้างความสนิทสนมกลมเกลียว สำหรับการประลองใหญ่สามปีครั้งนั้นต่างจากการประลองเล็กโดยสิ้นเชิง เป็นประลองที่ศิษย์ทุกคนต้องเข้าร่วม คนที่ชนะหนึ่งร้อยอันดับแรกจะได้เป็นศิษย์แกนนำ และยังจะถูกจารึกชื่อไว้บนแผ่นศิลาจันทรา ให้ศิษย์ทั้งหมดได้เห็นและให้ความเคารพ ที่สำคัญไปกว่านี้คือ ศิษย์แกนนำเหล่านี้ภายในสามปีจะได้รับการฝึกฝนโดยเฉพาะ ยิ่งชื่ออยู่ในระดับต้นๆ ก็ได้รับรางวัลที่มากขึ้น แน่นอนว่าผลลัพธ์ของการประลองยังสามารถตัดสินได้ว่าแต่ละสาขาจะได้รับทรัพยากรจำนวนเท่าใด แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญจิตวิญญาณก็ให้ความสำคัญกับการประลองใหญ่นี้เป็นอย่างมาก เท่าที่ข้าทราบมาสาขาเก้าทารกตกอยู่ในอันดับสุดท้ายติดต่อกันมาสิบกว่าปีแล้ว ด้วยเหตุนี้ทรัพยากรที่สาขาของเจ้าได้รับย่อมได้น้อยกว่าใครเพื่อน แต่เมื่อยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งยากที่จะฟื้นฟูได้ และถึงแม้ว่าการประลองใหญ่นี้จะมีผู้เชี่ยวชาญจิตวิญญาณคอยควบคุม แต่การต่อสู้ระหว่างศิษย์ด้วยกันนั้นโหดร้ายขนาดไหน มีการทำร้ายกันระหว่างการประลอง แม้กระทั่งยืมมือสังหารคู่ต่อสู้ ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อย ดังนั้นการแข่งขันขนาดใหญ่นี้จะไม่สนว่าจะเป็นหรือตาย เลยมีคนเรียกการประลองนี้ว่า ‘การประลองเลือด’” ภายในเวลาเพียงชั่วครู่ลี่จงกลับเล่าออกมาได้มากมาย หลิวหมิงก็พยักหน้าฟังอยู่ตลอด
“อืม เรื่องการประลองเล็กและการประลองใหญ่นี้ไม่ต่างกันกับที่ข้ารู้มา เพียงแต่การทดสอบความเป็นความตายคืออะไรกัน? ชื่อนี้…ศิษย์น้องได้ยินคนพูดถึงอยู่บ่อยๆ” หลิ่วหมิงถามขึ้นอีกครั้ง
“การทดสอบความเป็นความตาย ก็คือไม่เพียงแต่จะเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับนิกายปีศาจเราเท่านั้น แต่ยังเป็นทดสอบที่จัดขึ้นโดยห้านิกายใหญ่ในแคว้นต้าเสวียน และก็เป็นการทดสอบกำลังของแต่ละนิกาย เป็นการประลองจัดอันดับนิกายในแคว้นต้าเสวียน ด้วยเหตุนี้การทดสอบนี้จะดุเดือดและเหี้ยมโหดมาก เหี้ยมโหดเกินกว่าที่ศิษย์อย่างเราจะสามารถจินตนาการได้ ถ้าจะบอกว่าการประลองใหญ่นี้มีคนบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ยังคงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ แต่ในการทดสอบความเป็นความตายนั้น ศิษย์ของแต่ละนิกายที่สามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้มีไม่ถึงครึ่ง นี่คือเส้นทางแห่งความเป็นความตายที่แท้จริง หลายร้อยปีมานี้นิกายปีศาจของเราทำการทดสอบได้ไม่ค่อยดี และมีชื่อติดอันดับท้ายสุดมาโดยตลอด” หลี่จงถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา
“การทดสอบความเป็นความตายโหดเหี้ยมอันตรายเช่นนี้ อย่างนั้นศิษย์ที่เข้าร่วมเขาเลือกกันอย่างไร ศิษย์ทั่วไปคงไม่เสนอตัวเข้าร่วมเองหรอกใช่ไหม” หลิวหมิงฟังแล้วกลับสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปหนึ่งเฮือก
“เฮ่อๆ การทดสอบความเป็นความตายนี้ถึงแม้ว่าจะโหดเหี้ยมอันตรายอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่แค่มีชีวิตรอดกลับมา ก็จะได้รับผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ และก็ไม่เหมือนที่ข้ากับเจ้าคิด เท่าที่ข้ารู้มาตอนนี้อาจารย์อา อาจารย์ลุงของแต่ละสาขา กว่าครึ่งหนึ่งเคยเป็นศิษย์ที่เข้าร่วมการประลองความเป็นความตายมาแล้ว ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ศิษย์ทั่วไปอยากจะเข้าร่วมก็ไม่มีสิทธิ์ ศิษย์ที่สามารถเข้าร่วมการประลองนี้ได้ ต้องเป็นศิษย์แกนนำที่มีชื่อจารึกอยู่ในสิบอันดับแรกบนแผ่ศิลาจันทราเท่านั้น ศิษย์แกนนำคนไหนที่อยู่อันดับหนึ่งจะได้รับการฝึกฝนบ่มเพาะจากนิกายอย่างดีที่สุด เพื่อที่จะได้ช่วงชิงผลประโยชน์ในแคว้นต้าเสวียนให้ได้มากที่สุด” ลี่จงตอบกลับอย่างไม่ต้องคิด
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ขอบคุณศิษย์พี่หลี่ที่ชี้แนะ” หลิ่วหมิงฟังจบก็คิดใคร่ครวญสักเล็กน้อย แล้วกล่าวขอบคุณจากใจจริงทันที
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไร ข้าก็ถูกชะตากับศิษย์น้องต้องแต่แรกพบ ใช่สิ อีกสักครู่เมื่อเจ้าไปรับงานภารกิจจากนิกาย ถ้าอยากจะเลือกภารกิจที่ดีหน่อย ถึงเวลาให้บอกชื่อของข้าไป แล้วแอบส่งสิ่งของดีๆ บางอย่างให้กับผู้รับผิดชอบแบ่งภารกิจ แล้วเจ้าจะได้สิ่งที่เจ้าต้องการ” หลี่จงหัวเราะและขยิบตาให้หลิ่วหมิง ทำ
หลิ่วหมิงยิ้มแล้วก็กล่าวขอบคุณศิษย์พี่หลี่ผู้นี้ แล้วก็ไม่ยืดยื้ออีกต่อไป เดินเข้าไปต่อแถวที่ยาวมาก
ตอนนี้ที่ห้องโถงชั้นหนึ่ง ยังมีคนเข้าๆ ออกๆ อยู่ตลอด ขบวนแถวก็เข้าใกล้ข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จนมาถึงคิวของหลิ่วหมิงแล้ว
ด้านหน้าคือชายผู้ที่สวมชุดของหอดำเนินการ หัวของเขาล้านเล็กน้อย
แต่หลิ่วหมิงไม่มีหินจิตวิญญาณอะไรมาติดสินบนผู้ดูแลหอดำเนินการที่อยู่ด้านหน้า แน่นอนว่าย่อมไม่เอ่ยชื่อของหลี่จงออกมา เพียงแค่นำป้ายชื่อที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรกยื่นไปให้ แล้วบอกตรงๆ
“ข้าเป็นศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ มารับมอบหมายภารกิจของนิกาย”
“อ๋อ ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องใหม่ ข้าดูก่อนนะว่าตอนนี้มีภารกิจอะไรที่เจ้าสามารถทำได้” ชายหัวล้านผู้ดูแลหอดำเนินการแสดงออกอย่างสุภาพอ่อนโยน หลังจากรับป้ายชื่อแล้วก็รีบตรวจดูหนังสือเล่มหนาที่อยู่ด้านข้างทันที
“ตอนนี้ภารกิจที่เหมาะสำหรับศิษย์ใหม่ มีแค่ตัดฟืนที่ยอดเขาไผ่สวรรค์ กับทำนาที่หุบเขาจิตวิญญาณทักษิณเท่านั้น ไม่ทราบว่าศิษย์น้องจะเลือกอันไหน?” ชายหัวล้านผู้ดูแลหอดำเนินการชะงักมือ แล้วเงยหน้าขึ้นถาม
“อะไรนะ ตัดฟืนกับทำนา?” หลิ่วหมิงเกือบจะคิดว่าตัวเองฟังผิดไป
ในความเข้าใจของเขา สิ่งที่เรียกว่าภารกิจในนิกายควรจะเป็นการอยู่ยามหรือการลาดตระเวนตามเขา ทำไมหูเขาถึงได้ยินอะไรที่ต่างออกไปล่ะ
“ข้ารู้ว่าศิษย์น้องรู้สึกงงเล็กน้อย แต่รอเมื่อรับภารกิจไปแล้ว พอถึงเวลาก็จะรู้เองว่าเป็นอย่างไร” ชายหัวล้านไม่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับแสดงสีหน้าพูดจาลึกลับออกมา
“งั้นเลือกทำนาก็แล้วกัน” ถึงแม้หลิ่วหมิงจะยังงงงวยอยู่มาก แต่ก็ทำได้แค่เก็บมันเอาไว้ แล้วเลือกออกไปอย่างหนึ่ง
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตอนอยู่บนเกาะมฤตยูเขาเคยปลูกธัญพืชไปครึ่งหมู่
“ภารกิจทำนา ต้องสำเร็จภายในสามวัน มิฉะนั้นจะถือว่าภารกิจล้มเหลว”
ชายหัวล้านได้ยินแล้วก็นำป้ายชื่อของหลิ่วหมิงขึ้นมา กดลงไปยังบางส่วนของหนังสือ ปากก็กล่าวประโยคอย่างชำนาญเป็นพิเศษ
หลิ่วหมิงรับป้ายชื่อแล้ว ก็เดินจากไปด้วยความงุนงง แล้วเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่รู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าหุบเขาจิตวิญญาณทักษิณนั้นอยู่ที่ใด
หลิ่วหมิงคิดที่จะกลับไปถามผู้ดูแลหอดำเนินการคนนั้น เขาพบว่าด้านหน้าของเขามีศิษย์คนหนึ่งยืนอยู่ และกระบวนแถวยาวกว่าตอนแรกมาก เขาได้แต่ส่ายหัว
ด้านหลังของเขาคือ ผู้อาวุโสผิวคล้ำที่ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวตั้งแต่ตอนไหน หลังของเขาคุ้มเล็กน้อย ในมือถือบ้องยาสูบสีเหลือง กำลังพินิจดูหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก
“ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้านิกาย!”
“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสคือ?”
ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะดูไม่เตะตา แต่กลับไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหลิ่วหมิงถึงรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
“ฮึ! ผู้ดูแลหอดำเนินการเหล่านั้นปล่อยเด็กใหม่อย่างเจ้ามาทำไม เห็นที่นี่ของข้าเป็นอะไร ช่างเถอะ เจ้าถือสิ่งนี้ไว้ แล้วรับผิดชอบแปลงคนละหนึ่งแปลงเหมือนกับพวกเขา ภายในสามวันจะต้องพรวนดินให้ลึกลงไปครึ่งฉื่อ อย่าให้มีหญ้าหลงเหลือแม้แต่ต้นเดียว ถ้าทำไม่เสร็จล่ะก็รีบไสหัวไปให้พ้น แล้วอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก” ชาวนาอาวุโสผู้นี้กล่าวอย่างเย็นชา พอเขาเอามือไปลูบที่เอวก็คว้าจอบส่องประกายสีเงินด้ามยาวเท่ากับความสูงของคนหนึ่งคนที่ไม่รู้เอามาจากไหน และโยนมันให้กับหลิ่วหมิง
เหตุการณ์นี้ทำให้หลิ่วหมิงยืนตะลึงตาค้างขึ้นมา
“มองอะไรอยู่ ยังไม่รีบไปทำงานอีก! นี่คือยันต์เก็บของยังไม่บรรลุระดับอาจารย์จิตวิญญาณขึ้นไป เจ้าก็ไม่สามารถใช้มันได้” ชาวนาอาวุโสกล่าวอย่างเบื่อหน่าย แล้วหันตัวเดินกลับไปอย่างไม่สนใจ หลังจากเขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีเมฆดำลอยอยู่ด้านล่างดันเขาลอยขึ้นไปยังป่าดงดิบ
“ยันต์เก็บของ!”
มาถึงตอนนี้หลิ่วหมิงถึงรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นอาจารย์จิตวิญญาณคนหนึ่ง เขาพูดพึมพำไม่กี่คำแล้วก็ก้มลงหยิบจอบสีเงินไว้ในมือ จากนั้นเดินไปยังนาแปลงที่ไม่มีคนอยู่โดยไม่รีรอ
ที่นาแปลงนี้มีขนาดหนึ่งหมู่กว่าๆ ดูเหมือนจะไม่กว้าง แต่ในนั้นมีหญ้าเต็มไปหมด ดูเหมือนกับว่าจะขึ้นเบียดเสียดกันเต็มพื้นที่
หลังจากที่หลิ่วหมิงขยับแขนขาแล้วก็ใช้มือทั้งสองยกจอบขึ้น แล้วขุดลงไปในดิน
……………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา