นอกจากยันแสงทองที่ชายฉกรรจ์แซ่เหลยมอบให้ผืนนั้นแล้ว ก่อนออกเดินทางประมุขนิกายปีศาจยังให้ยันต์แบบนี้กับเขาอีกสามผืน เพื่อที่จะได้ช่วยชีวิตในยามคับขัน
นี่เป็นที่พึ่งสำคัญที่เขาตอบรับภารกิจนี้
ผู้อาวุโสแซ่ลี่เห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ พอแสงสีฟ้าหมุนวนรอบตัว ร่างของเขาก็พุ่งตามไป
พริบตาเดียวทั้งสองก็อยู่ห่างกันร้อยกว่าลี้
ยันต์แสงทองเป็นยันต์ที่ใช้ในการหลบหนีที่พบเจอได้น้อยมาก พอแสดงออกมา ระดับความเร็วของมันก็พอที่จะหนีการตามล่าของศัตรูระดับอาจารย์จิตวิญญาณได้
แม้ผู้อาวุโสแซ่ลี่จะเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึก แต่ก็ไม่ชำนาญวิชาการหลบหลีก วิชาที่ใช้ก็เป็นแค่วิชาหลบหลีกทั่วไปเท่านั้น ถ้าอยู่บนผิวทะเลล่ะก็ ย่อมมีผลลัพธ์ที่ไม่เลว แต่ตอนนี้มาอยู่บนอากาศที่ไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียว จึงเร็วกว่าอาจารย์จิตวิญญาณทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แม้ว่าผู้อาวุโสเผ่าเจ้าสมุทรจะกระตุ้นพลังทั้งหมด แต่ก็ยังอยู่ห่างจากหลิ่วหมิงระยะหนึ่งอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้ เขายิ่งตามก็ยิ่งโมโห และอดคิดไม่ได้ว่าถ้าตามฝ่ายตรงข้ามทัน จะต้องทรมาณให้สาแก่ใจ
หลิ่วหมิงที่หนีอยู่ด้านหน้า ก็กระตุ้นอานุภาพของยันต์จนถึงขีดสุด พลังเวทย์ในร่างพุ่งขึ้นบนศีรษะ และหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง
เส้นทางที่เขาเลือกหลบหนีในก่อนหน้านั้น เห็นได้ชัดว่าหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ผู้อาวุโสแซ่ลี่จากไปแล้ว แต่ทำไมถึงมาเจอกับฝ่ายตรงข้ามได้ล่ะ!
เรื่องนี้ช่างเข้าใจได้ยากยิ่งนัก!
แม้ว่าในมือเขาจะยังมียันต์แสงทองอยู่อีกสองผืน แต่อย่างมากก็สามารถหนีห่างจากผู้อาวุโสแซ่ลี่แค่พันลี้เท่านั้น จากนั้นความเร็วก็จะกลับมาเป็นปกติ และระยะห่างแค่นี้ ไม่อาจทำให้เขากลับไปถึงเมืองยักษ์ได้
และระหว่างทางที่มา เขาได้ตรวจสอบพบว่าทิศทางที่จะไปนั้นเป็นพื้นที่ราบเรียบจนไม่อาจหลบหลีกและซ่อนตัวได้เลย แต่ถ้าเขาไปตามทิศทางนี้เรื่อยๆ คงมีโอกาสไม่น้อยที่จะเจอกับคนในนิกาย แต่ด้วยพลังของผู้ที่ไล่ล่ามานั้นน่ากลัวเป็นอย่างมาก เกรงว่าคนทั่วไปคงไม่อาจต้านทานเขาได้ นอกเสียจากว่าจะพบกับผู้อาวุโสระดับผลึกที่อยู่แถวนั้นพอดี
แต่โอกาสนี้มีไม่มากนัก!
อีกอย่างตอนนี้เขาเป็นห่วงผลแพ้ชนะของศึกระหว่างแต่ละนิกายกับเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่ด้านหน้า
ถ้าแต่ละนิกายชนะล่ะก็ ทุกอย่างคงง่ายขึ้น แต่ถ้าพ่ายแพ้ล่ะก็ เมืองยักษ์อาจถูกเผ่าเจ้าสมุทรยึดครองแล้วก็เป็นได้ ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ ถ้าเขาไปตามทิศทางนี้มีแต่จะรนหาที่ตายเท่านั้น
ในทางกลับกัน ถ้าตอนนี้เขาเลี้ยวหลบหนีไปทางอื่น และใช้พลังจากยันแสงทองทั้งสามจนหมดล่ะก็ คงสามารถเข้าไปในเทือกเขาบางแห่งตรงชายแดนแคว้นต้าเสวียนได้ แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ทิศทางนั้นคงไม่มีผู้ฝึกฝนในนิกายปรากฏตัวอย่างแน่นอน เขาคงได้แต่รับมือกับการตามล่าของผู้แข็งแกร่งเผ่าเจ้าสมุทรเพียงผู้เดียวแล้ว
แต่ถ้าเขาจำไม่ผิด จากแผนที่ที่เขาเคยดูก่อนหน้า กลุ่มเทือกเขาเหล่านั้นมีขนาดใหญ่มาก และยังทอดทะลุไปข้างในแคว้นต้าเสวียน เพียงแค่เขาหลบเข้าไปในเทือกเขา คงจะสามารถอาศัยสภาพทางภูมิศาสตร์หลบหนีการตามล่าได้
เขาทำท่ามือด้วยมือเดียวในฉับพลัน แสงสีทองบนร่างเปล่งประกายออกมาทันที จากนั้นก็พุ่งออกไปด้านข้าง
ผู้อาวุโสแซ่ลี่เห็นเช่นนี้ ก็เลี้ยวตามไปอย่างไม่ลดละ
ขณะนี้หลิ่วหมิงโยนโอสถเข้าปากไปสองสามเม็ด มือทั้งคู่กำหินจิตวิญญาณก้อนหนึ่งไว้แน่น และพยายามสูดเอาพลังจากในนั้น
ผู้อาวุโสแซ่ลี่เห็นเช่นนี้ ก็หัวเราะอยู่ในใจ
ด้วยพลังจิตที่แข็งแกร่งของเขา แค่มองก็รู้ว่าหลิ่วหมิงเป็นแค่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้นเท่านั้น ต่อให้จะทานโอสถและสูดเอาพลังจากหินจิตวิญญาณ ก็ไม่อาจยืนหยัดได้นาน
เพราะยันต์หลบหนีอย่างยันต์แสงทองนี้ ยิ่งหนีเร็วก็ยิ่งสูญเสียพลังมาก
ในความคิดของเขา วิธีการหลบหนีของหลิ่วหมิง คงทำให้พลังเวทย์หมดไปภายในเวลาครึ่งเค่อ
ในสายตาเขาแล้ว ระดับการฝึกฝนของผู้ฝึกฝนระดับของเหลวคนหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องที่ต้องหยิบยกขึ้นมาพูด
แต่พออึดใจเดียวที่หลิ่วหมิงบินอยู่ห่างสองร้อยกว่าลี้นั้น ระดับความเร็วของเขาก็ไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย ในที่สุดสีหน้าของผู้อาวุโสเผ่าเจ้าสมุทรก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
จากการคาดเดาของเขา พอถึงเวลานี้พลังเวทย์ของผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้น คงจะหมดไปเจ็ดแปดส่วน และไม่อาจยืนหยัดต่อไปได้อีกถึงจะถูกต้อง
แต่ขณะนั้นเอง แสงสีทองบนร่างหลิ่วหมิงก็ดับไป ในที่สุดพลังของยันต์สีทองก็ถูกใช้จนหมดสิ้น
ผู้อาวุโสเผ่าเจ้าสมุทรเห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก และขณะที่กำลังกระตุ้นพลังเวทย์เพื่อตามล่านั้น หลิ่วหมิงก็พลิกฝ่ามือแปะยันต์แสงทองบนตัวอีกผืนหนึ่ง และกลายร่างเป็นกลุ่มแสงพุ่งออกไปอีกครั้ง
ครั้งนี้ ผู้อาวุโสรู้สึกหงุดหงิดจนตะโกนด่าออกมาอย่างอดไม่ได้ ตอนนี้เขาไม่เหลือท่าทีของผู้อาวุโสระดับผลึกอีกเลย
สำหรับผู้อาวุโสระดับผลึกผู้นี้ มียันต์ระดับยันต์แสงทองแค่ไม่กี่ผืน ทั้งยังเป็นยันต์ธาตุน้ำ ไม่มียันต์ประเภทบินหลบหลีกเลย
ฝ่ายตรงข้ามเป็นแค่อาจารย์จิตวิญญาณ แต่กลับนำยันต์แสงทองมาใช้ติดต่อกันสองสามครั้ง เช่นนี้แล้วเขาจะไม่รู้สึกโมโหได้อย่างไร
แต่พอหลังครึ่งชั่วยามผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงขยี้ยันต์ผืนที่สองในแขนเสื้อ เพื่อให้แสงสีทองห่อหุ้มร่างเขาอีกครั้ง ผู้อาวุโสเผ่าเจ้าสมุทรก็ไม่คิดจะกร่นด่าออกมาอีก เขาได้แต่กระตุ้นแสงตามติดหลิ่วหมิงไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา