มนุษย์เกราะทองคำหดรูม่านตาลง และหลุดปากออกมา
เจ้าของมือที่เต็มไปด้วยโลหิตนั้น คือหลิ่วหมิงที่ควรจะตายไปแล้ว
ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาลุกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และทั่วทั้งร่างถูกปกคลุมด้วยแสงสีดำจางๆ และบาดแผลนองเลือดคือโลหิตสีทองอ่อนๆ ขณะเดียวกันบาดแผลทั้งหมดก็สมานกันอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อส่งเสียงดังออกมาติดต่อกัน และก่อเกิดเป็นมัดกล้ามอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามีหนอนแสงตัวเล็กๆ เลื้อยขยุกขยิกอยู่ใต้ผิวหนัง ครู่เดียวร่างกายส่วนบนของเขาก็ไม่มีบาดแผลใดๆ หลงเหลืออยู่เลย ขณะเดียวกันกล้ามตามแขนและขาก็นูนขึ้นมา ระหว่างคิ้วมีเปลวเพลิงสีดำลุกไหม้อยู่ จากนั้นมันก็กลายเป็นอักขระสีดำไม่ทราบชื่อ และเปล่งประกายลำแสงสีดำลึกลับออกมา
แม้มนุษย์เกราะทองคำจะตกตะลึงพรึงเพริดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ขยับแขนข้างหนึ่งโดยไม่ต้องคิด นิ้วทั้งห้าแนบชิดติดกัน และโบกไปทางหลิ่วหมิงที่อยู่บนพื้น
เสียงระเบิดดังออกมา!
อากาศทางด้านหนึ่งสั่นสะเทือน คมมีดแสงสีทองจางๆ ปรากฏตัวขึ้น และฟันใส่ร่างหลิ่วหมิง
“เพล้ง!”
หลิ่วหมิงขยับแขนข้างหนึ่งในทันที นิ้วทั้งห้าแยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว และคว้าคมแสงสีทองที่พุ่งเข้ามาไว้ได้
ฉากนี้ทำให้มนุษย์เกราะทองคำมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
แม้ว่าการโจมตีของเขาในเมื่อครู่จะไม่ใช่การโจมตีของระดับผลึก แต่คมมีดแสงก็แหลมคมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ มันไม่ใช่สิ่งที่กายเนื้อจะสามารถต้านทานได้
ที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือ กลิ่นไอบนตัวหลิ่วหมิงในขณะนี้ไม่ได้เพิ่มขึ้นมามากเท่าไหร่ แต่กลับดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก เทียบกับก่อนหน้านั้นแล้ว ราวกับเป็นคนละคนเลยทีเดียว
ในขณะที่มนุษย์เกราะทองคำลังเลอยู่เล็กน้อยว่า ควรจะกระตุ้นพลังเวทย์เพื่อใช้พลังการโจมตีระดับผลึกจัดการคู่ต่อสู้ที่เพิ่งฟื้นมาโดยฉับพลันหรือไม่นั้น ‘หลิ่วหมิง’ ที่อยู่ด้านล่างก็แหงนหน้า และลืมตาทั้งสองขึ้นมา
พอมีเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” ลำแสงสีเงินยาวครึ่งฉื่อสองลำ ก็ม้วนตัวออกจากดวงตาของเขา
มนุษย์เกราะทองคำกลางอากาศพลันรู้สึกว่ามีแสงเย็นสะท้านทั้งสองด้าน จากนั้นแขนทั้งสองก็หลุดร่วงลงไป
ครั้งนี้ทำให้มนุษย์เกราะทองคำตกใจเป็นอย่างมาก พอเขาคำรามด้วยความโมโห ร่างกายก็พุ่งออกไปสิบกว่าจั้ง ขณะเดียวกันก็อ้าปากพ่นอักขระสีทองออกมา หลังจากที่มันหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นโล่ยักษ์สีทองต้านอยู่ด้านหน้า
แขนทั้งสองที่หลุดออกไป ก็ส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” จากนั้นก็ระเบิดออกมาอย่างน่าประหลาดใจ
ขณะเดียวกัน ก็มีจุดแสงสีทองปรากฏออกมาบริเวณไหล่ทั้งสอง หลังจากมันพวยพุ่งรวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นแขนสองข้างที่ดูเหมือนของเดิมไม่มีผิด
มนุษย์เกราะทองคำจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำ
“เจ้าเป็นใครกันแน่! เจ้าไม่ใช่เด็กมนุษย์ในก่อนหน้านั้นอย่างแน่นอน!”
ลำแสงสีเงินในดวงตาทั้งสองของ ‘หลิ่วหมิง’ ที่อยู่ด้านล่างได้สลายไปนานแล้ว เผยให้เล็กลูกตาสีเงินแวววาว แต่ใบหน้าเขาไม่มีความรู้สึกเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ออกแรงที่นิ้วทั้งห้า คมแสงสีทองก็แตกกระจายเป็นผุยผง จากนั้นก็หดฝ่ามือเข้ามา และพลิกขึ้นมาดู
กลางฝ่ามือมีเกล็ดสีแดงอยู่สิบกว่าแผ่น แต่ละแผ่นมีขนาดใหญ่ไม่เกินเมล็ดถั่ว แต่มันปกคลุมบริเวณที่รับคมมีดแสงสีทองไว้อย่างน่าอัศจรรย์
ส่วนเกราะหนังเกล็ดมังกรที่เขาสวมติดตัวในก่อนหน้านั้น พื้นผิวของมันดูว่างเปล่า เกล็ดสิบกว่าแผ่นที่เคยมีหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่รู้ว่า ‘หลิ่วหมิง’ ผู้นี้ใช้วิธีการอะไรในการดูดเกล็ดมังกรเข้าไปในร่าง และเคลื่อนย้ายไปที่มืออย่างน่าอัศจรรย์ มิเช่นนั้นต่อให้ร่างกายเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่อาจต้านทานคมมีดแสงอันแหลมคมนี้ได้
มนุษย์เกราะทองคำเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะดูลึกลับ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่แข็งแกร่งอย่างที่เขาคิด
ขณะนี้ ‘หลิ่วหมิง’ แหงนหน้ามองมนุษย์เกราะทองคำ หลังจากสังเกตดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็กล่าวด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
“เห็นแก่เมื่อครู่ที่เจ้าโจมตีร่างแฝงของข้าจนได้รับบาดเจ็บ และคลายผนึกให้ข้า ข้าจะให้เจ้าตายแบบสะใจ ซึ่งข้าเพียงแค่จะลบสติปัญญาเจ้า และเก็บยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองนี้ไว้ คิดว่ามาจนถึงตอนนี้แล้ว ยันต์ลึกลับที่สามารถก่อเกิดสติปัญญาได้อย่างเจ้า คงมีไม่มากในโลกใบนี้”
น้ำเสียงเขาคล้ายกับหลิ่วหมิงเล็กน้อย แต่เห็นได้ชัดว่าทุ้มต่ำกว่ามาก
“ยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองอะไรกัน เจ้าพูดเหลวไหล! ไม่ว่าเจ้าคืออะไรที่ครอบครองร่างเจ้าเด็กมนุษย์นี่อยู่ก็ตาม ในเมื่อเจ้าอยากตายจริงๆ ข้าจะช่วยสงเคราะห์ให้” พอมนุษย์เกราะทองคำได้ยินคำว่า ‘ยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลือง’ ก็เต้นแร้งเต้นการาวกับมีใครมาเหยียบหาง และกลิ่นไอสังหารก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เขาทำท่ามือด้วยมือข้างเดียว อักขระสีทองทะลักออกมาจากตัว ขณะเดียวกันเงาร่างยักษ์ตรงด้านหลังก็ปรากฏออกมา ชั่วเวลาเพียงสองอึดใจ มันก็มีขนาดใหญ่สี่ห้าจั้ง
และระดับการฝึกฝนของมนุษย์เกราะทองคำ ก็เข้าสู่ระดับผลึกในทันที
“วิธีการระดับดาราสวรรค์ที่อ่อนแอเช่นนี้ ถ้าระดับดาราสวรรค์ที่แท้จริงมาพบเข้า คงโมโหจนต้องกระอักเลือดออกมา แต่ในเมื่อสามารถปล่อยพลังออกมาเช่นนี้ได้ ดูท่ายันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองนี้ คงมีคุณสมบัติไม่เลว แม้แต่ในสมัยบรรพกาลยังนับว่าเป็นยันลึกลับระดับสุดยอด แต่ด้วยกลิ่นไอของเจ้าในขณะนี้ ยกระดับเข้าถึงเขตแดนผลึกได้ นับว่าดูฝืนไปหน่อย เกรงว่าต่อไปนี้คงไม่อาจแปลงร่างได้อีก” ‘หลิ่วหมิง’ เห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้แปลกใจมากนัก เขาเพียงแค่กล่าวออกมาราวกับคิดอะไรอยู่
พอมนุษย์เกราะทองคำได้ยินประโยคแรกของ ‘หลิ่วหมิง’ สีหน้าเขาก็ดูไม่ได้ขึ้นมาทันที และพอหลิ่วหมิงกล่าวจบ เขาก็คำรามออกมาอย่างอดไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา