ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 282

สรุปบท ตอนที่ 282: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนที่ 282 – ตอนที่ต้องอ่านของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนนี้ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 282 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 282 กำเนิดจิตปีศาจ
ตอนที่ 282 กำเนิดจิตปีศาจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เป็นไปไม่ได้”

มนุษย์เกราะทองคำหดรูม่านตาลง และหลุดปากออกมา

เจ้าของมือที่เต็มไปด้วยโลหิตนั้น คือหลิ่วหมิงที่ควรจะตายไปแล้ว

ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาลุกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และทั่วทั้งร่างถูกปกคลุมด้วยแสงสีดำจางๆ และบาดแผลนองเลือดคือโลหิตสีทองอ่อนๆ ขณะเดียวกันบาดแผลทั้งหมดก็สมานกันอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อส่งเสียงดังออกมาติดต่อกัน และก่อเกิดเป็นมัดกล้ามอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามีหนอนแสงตัวเล็กๆ เลื้อยขยุกขยิกอยู่ใต้ผิวหนัง ครู่เดียวร่างกายส่วนบนของเขาก็ไม่มีบาดแผลใดๆ หลงเหลืออยู่เลย ขณะเดียวกันกล้ามตามแขนและขาก็นูนขึ้นมา ระหว่างคิ้วมีเปลวเพลิงสีดำลุกไหม้อยู่ จากนั้นมันก็กลายเป็นอักขระสีดำไม่ทราบชื่อ และเปล่งประกายลำแสงสีดำลึกลับออกมา

แม้มนุษย์เกราะทองคำจะตกตะลึงพรึงเพริดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ขยับแขนข้างหนึ่งโดยไม่ต้องคิด นิ้วทั้งห้าแนบชิดติดกัน และโบกไปทางหลิ่วหมิงที่อยู่บนพื้น

เสียงระเบิดดังออกมา!

อากาศทางด้านหนึ่งสั่นสะเทือน คมมีดแสงสีทองจางๆ ปรากฏตัวขึ้น และฟันใส่ร่างหลิ่วหมิง

“เพล้ง!”

หลิ่วหมิงขยับแขนข้างหนึ่งในทันที นิ้วทั้งห้าแยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว และคว้าคมแสงสีทองที่พุ่งเข้ามาไว้ได้

ฉากนี้ทำให้มนุษย์เกราะทองคำมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก

แม้ว่าการโจมตีของเขาในเมื่อครู่จะไม่ใช่การโจมตีของระดับผลึก แต่คมมีดแสงก็แหลมคมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ มันไม่ใช่สิ่งที่กายเนื้อจะสามารถต้านทานได้

ที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือ กลิ่นไอบนตัวหลิ่วหมิงในขณะนี้ไม่ได้เพิ่มขึ้นมามากเท่าไหร่ แต่กลับดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก เทียบกับก่อนหน้านั้นแล้ว ราวกับเป็นคนละคนเลยทีเดียว

ในขณะที่มนุษย์เกราะทองคำลังเลอยู่เล็กน้อยว่า ควรจะกระตุ้นพลังเวทย์เพื่อใช้พลังการโจมตีระดับผลึกจัดการคู่ต่อสู้ที่เพิ่งฟื้นมาโดยฉับพลันหรือไม่นั้น ‘หลิ่วหมิง’ ที่อยู่ด้านล่างก็แหงนหน้า และลืมตาทั้งสองขึ้นมา

พอมีเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” ลำแสงสีเงินยาวครึ่งฉื่อสองลำ ก็ม้วนตัวออกจากดวงตาของเขา

มนุษย์เกราะทองคำกลางอากาศพลันรู้สึกว่ามีแสงเย็นสะท้านทั้งสองด้าน จากนั้นแขนทั้งสองก็หลุดร่วงลงไป

ครั้งนี้ทำให้มนุษย์เกราะทองคำตกใจเป็นอย่างมาก พอเขาคำรามด้วยความโมโห ร่างกายก็พุ่งออกไปสิบกว่าจั้ง ขณะเดียวกันก็อ้าปากพ่นอักขระสีทองออกมา หลังจากที่มันหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นโล่ยักษ์สีทองต้านอยู่ด้านหน้า

แขนทั้งสองที่หลุดออกไป ก็ส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” จากนั้นก็ระเบิดออกมาอย่างน่าประหลาดใจ

ขณะเดียวกัน ก็มีจุดแสงสีทองปรากฏออกมาบริเวณไหล่ทั้งสอง หลังจากมันพวยพุ่งรวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นแขนสองข้างที่ดูเหมือนของเดิมไม่มีผิด

มนุษย์เกราะทองคำจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำ

“เจ้าเป็นใครกันแน่! เจ้าไม่ใช่เด็กมนุษย์ในก่อนหน้านั้นอย่างแน่นอน!”

ลำแสงสีเงินในดวงตาทั้งสองของ ‘หลิ่วหมิง’ ที่อยู่ด้านล่างได้สลายไปนานแล้ว เผยให้เล็กลูกตาสีเงินแวววาว แต่ใบหน้าเขาไม่มีความรู้สึกเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ออกแรงที่นิ้วทั้งห้า คมแสงสีทองก็แตกกระจายเป็นผุยผง จากนั้นก็หดฝ่ามือเข้ามา และพลิกขึ้นมาดู

กลางฝ่ามือมีเกล็ดสีแดงอยู่สิบกว่าแผ่น แต่ละแผ่นมีขนาดใหญ่ไม่เกินเมล็ดถั่ว แต่มันปกคลุมบริเวณที่รับคมมีดแสงสีทองไว้อย่างน่าอัศจรรย์

ส่วนเกราะหนังเกล็ดมังกรที่เขาสวมติดตัวในก่อนหน้านั้น พื้นผิวของมันดูว่างเปล่า เกล็ดสิบกว่าแผ่นที่เคยมีหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ไม่รู้ว่า ‘หลิ่วหมิง’ ผู้นี้ใช้วิธีการอะไรในการดูดเกล็ดมังกรเข้าไปในร่าง และเคลื่อนย้ายไปที่มืออย่างน่าอัศจรรย์ มิเช่นนั้นต่อให้ร่างกายเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่อาจต้านทานคมมีดแสงอันแหลมคมนี้ได้

มนุษย์เกราะทองคำเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะดูลึกลับ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่แข็งแกร่งอย่างที่เขาคิด

ขณะนี้ ‘หลิ่วหมิง’ แหงนหน้ามองมนุษย์เกราะทองคำ หลังจากสังเกตดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็กล่าวด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

“เห็นแก่เมื่อครู่ที่เจ้าโจมตีร่างแฝงของข้าจนได้รับบาดเจ็บ และคลายผนึกให้ข้า ข้าจะให้เจ้าตายแบบสะใจ ซึ่งข้าเพียงแค่จะลบสติปัญญาเจ้า และเก็บยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองนี้ไว้ คิดว่ามาจนถึงตอนนี้แล้ว ยันต์ลึกลับที่สามารถก่อเกิดสติปัญญาได้อย่างเจ้า คงมีไม่มากในโลกใบนี้”

น้ำเสียงเขาคล้ายกับหลิ่วหมิงเล็กน้อย แต่เห็นได้ชัดว่าทุ้มต่ำกว่ามาก

“ยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองอะไรกัน เจ้าพูดเหลวไหล! ไม่ว่าเจ้าคืออะไรที่ครอบครองร่างเจ้าเด็กมนุษย์นี่อยู่ก็ตาม ในเมื่อเจ้าอยากตายจริงๆ ข้าจะช่วยสงเคราะห์ให้” พอมนุษย์เกราะทองคำได้ยินคำว่า ‘ยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลือง’ ก็เต้นแร้งเต้นการาวกับมีใครมาเหยียบหาง และกลิ่นไอสังหารก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า

เขาทำท่ามือด้วยมือข้างเดียว อักขระสีทองทะลักออกมาจากตัว ขณะเดียวกันเงาร่างยักษ์ตรงด้านหลังก็ปรากฏออกมา ชั่วเวลาเพียงสองอึดใจ มันก็มีขนาดใหญ่สี่ห้าจั้ง

และระดับการฝึกฝนของมนุษย์เกราะทองคำ ก็เข้าสู่ระดับผลึกในทันที

“วิธีการระดับดาราสวรรค์ที่อ่อนแอเช่นนี้ ถ้าระดับดาราสวรรค์ที่แท้จริงมาพบเข้า คงโมโหจนต้องกระอักเลือดออกมา แต่ในเมื่อสามารถปล่อยพลังออกมาเช่นนี้ได้ ดูท่ายันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองนี้ คงมีคุณสมบัติไม่เลว แม้แต่ในสมัยบรรพกาลยังนับว่าเป็นยันลึกลับระดับสุดยอด แต่ด้วยกลิ่นไอของเจ้าในขณะนี้ ยกระดับเข้าถึงเขตแดนผลึกได้ นับว่าดูฝืนไปหน่อย เกรงว่าต่อไปนี้คงไม่อาจแปลงร่างได้อีก” ‘หลิ่วหมิง’ เห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้แปลกใจมากนัก เขาเพียงแค่กล่าวออกมาราวกับคิดอะไรอยู่

พอมนุษย์เกราะทองคำได้ยินประโยคแรกของ ‘หลิ่วหมิง’ สีหน้าเขาก็ดูไม่ได้ขึ้นมาทันที และพอหลิ่วหมิงกล่าวจบ เขาก็คำรามออกมาอย่างอดไม่ได้

มนุษย์เกราะทองคำเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ต่อสู้มานาน พอเห็นฉากเช่นนี้ ไหนเลยจะไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้สร้างสถานการณ์ขู่ขวัญ แต่กลับมีความสามารถในการสังหารเขาจริงๆ เขารีบทำท่ามือด้วยมือทั้งสองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เพื่อกระตุ้นพลังเวทย์ทั้งหมด จากนั้นก็พร่ามัวเป็นสายรุ้งทะยานขึ้นฟ้าหลบหนีไป

“คิดจะหนีหรือ? มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก”

เสียง ‘หลิ่วหมิง’ ดังออกจากหมอกโลหิตอีกครั้ง

นิ้วโลหิตหมุนวนหนึ่งรอบ และชี้ไปทางมนุษย์เกราะทองคำที่อยู่ไกลๆ

“ตู๊ม!”

มนุษย์เกราะทองคำที่กระตุ้นความเร็วจนถึงขีดสุด และหนีออกไปไกลร้อยกว่าจั้ง พลันรู้สึกว่าร้อนไปทั่วร่างกาย และร่างของเขาก็ถูกพลังมหาศาลโจมตีจนระเบิดออกมา

ขณะนี้มีเสียงดัง “ฟู่!” เงาโลหิตพุ่งออกจากหมอกโลหิตด้านล่าง มันพร่ามัวไม่กี่ทีก็ทะลุผ่านมนุษย์เกราะทองคำที่ระเบิดตัว

พอแสงโลหิตดับลง ‘หลิ่วหมิง’ ก็ปรากฏตัวบนอากาศ

เพียงแต่ในตอนนี้ ทั่วทั้งร่างของเขาเจิ่งนองไปด้วยโลหิต ในมือถือยันต์สีทองอร่ามอยู่ผืนหนึ่ง

“ไม่เลว ไม่เลวจริงๆ คิดไม่ถึงว่าพอออกจากผนึกแล้ว ก็ได้ของล้ำค่าชิ้นนี้มา แต่ถ้าเจ้านี่ไม่ถูกข้าข่มขู่ไว้ ข้าคงไม่กล้าโจมตีในระยะประชิด และยังเหลือเวลาให้ข้าแสดงวิชาสังเวยโลหิตออกมา ซึ่งอาศัยแค่กายเนื้อคงไม่อาจกระตุ้นนิ้วทำลายเทพออกมาได้”

‘หลิ่วหมิง’ สังเกตดูยันต์สีทองในมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูประหลาดๆ

ที่น่าตกใจก็คือ ยันต์สีทองผืนนี้ยังคงดิ้นรนอยู่ในมือเขาไม่หยุด ราวกับว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิต

ครู่ต่อมา ‘หลิ่วหมิง’ ก็ทำเสียงฮึดฮัด และอ้าปากพ่นหมอกโลหิตสีทองจางๆ ออกมา ยันต์สีทองสั่นไหวอยู่ท่ามกลางหมอกโลหิตไม่กี่ที ก็เปล่งประกายแสงกลายเป็นยันต์สีเหลืองเก่าๆ ผืนหนึ่ง

จากนั้นหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ ร่อนลงด้านล่าง

ขณะนั้นเอง อักขระสีดำระหว่างคิ้วของเขาเปล่งประกายสองสามที จากนั้นบาดแผลบนร่างก็สมานกันอย่างรวดเร็ว

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา