ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 285

สรุปบท ตอนที่ 285: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

อ่านสรุป ตอนที่ 285 จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 285 คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 285 กระบี่จันทราทองคำ
ตอนที่ 285 กระบี่จันทราทองคำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เปลวเพลิงสีดำระหว่างคิ้ว ‘หลิ่วหมิง’ กลายเป็นกลุ่มเงา และพุ่งออกจากกายเนื้อหลิ่วหมิงไป

แต่ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงภาษาสันสกฤตดังออกจากร่างหลิ่วหมิง แสงทรงกรดสีขาวน้ำนมพุ่งออกจากร่างของเขา

คลื่นอากาศบริเวณนั้นสั่นสะเทือนขึ้นมา ฟองอากาศแวววาวขนาดเท่าเมล็ดถั่วปรากฏตัวท่ามกลางแสงทรงกรด และพอมันหมุนตัวติ้วๆ ก็ปล่อยอักขระสีเทาที่ดูธรรมดาๆ ออกมาแปดตัว

ตอนแรกที่อักขระเหล่านี้ปรากฏออกมา มันมีขนาดใหญ่ไม่เกินเมล็ดข้าวสาร แต่พอเคลื่อนไหวตามแรงลมก็ขยายใหญ่ขึ้น มันพร่ามัวท่ามกลางเสียงภาษาสันสกฤต จากนั้นก็หนีออกไปจากถ้ำ

ครู่ต่อมา พลันมีคลื่นอากาศสั่นสะเทือนบริเวณรอบๆ เงาร่างที่พุ่งออกจากถ้ำมาไกลร้อยกว่าจั้ง อักขระสีเทาแปดตัวปรากฏออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง และพุ่งไปห่อหุ้มเงาร่างไว้

“ไม่! ข้าออกจากสถานที่แห่งนั้นไปได้แล้ว ข้าจะไม่กลับไปอีก”

มีน้ำเสียงบ้าระห่ำของชายผู้หนึ่งดังออกมาจากเปลวเพลิงสีดำ จากนั้นเปลวเพลิงสีดำก็ลุกพรือขึ้นมา และกลายเป็นบัวอัคคีมืดดอกหนึ่ง มันกำลังดิ้นให้หลุดจากการปกคลุมของอักขระสีเทาอยู่ไม่หยุด และมีแนวโน้มที่อักขระเหล่านี้จะไม่สามารถรับได้ไหว

แต่ขณะนั้นเอง อักขระสีเทาทั้งแปดก็เปล่งประกายออกมา มันเพียงแค่ค่อยๆ หมุนวนรอบๆ บัวอัคคีมืด จากนั้นก็ผสมผสานกันจนกลายเป็นค่ายกลีเทาที่มีขนาดใหญ่จั้งกว่าๆ แสงเจ็ดสีพุ่งออกจากในนั้น

มีเสียงร้องอย่างเวทนาดังออกมา!

พอแสงเจ็ดสีม้วนตัวผ่านบัวอัคคีมืด มันก็ดับสลายไป และเปลวเพลิงสีดำที่ปรากฏตัวอีกครั้ง ก็มืดลงกว่าเดิมมาก

ขณะที่ค่ายอักขระสีเทาหมุนติ้วๆ นั้น แสงเจ็ดสีก็ม้วนตัวเป็นชั้นๆ อย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ห่อหุ้มเปลวเพลิงสีดำจนกลายเป็นลูกแสงเจ็ดสี

จากนั้นค่ายกลอักขระก็พร่ามัวไปห่อลูกแสงเจ็ดสีไว้ ก่อนที่จะพุ่งกลับไปยังบริเวณยอดเขาที่จากมา ไม่นานก็มาปรากฏตัวภายในถ้ำ และจมหายเข้าไปในฟองอากาศ

ภายใต้การสั่นไหวของฟองอากาศแวววาว เสียงภาษาสันสกฤตที่ดังออกจากในนั้นก็หยุดชะงักลง แสงทรงกลดสีขาวน้ำนมที่อยู่บริเวณนั้นก็กระพริบหายไป

จากนั้นฟองอากาศก็สั่นไหวเล็กน้อย และพุ่งเข้าไปในร่างของหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ นิ้วมือเขาถึงค่อยๆ กระตุกสองครั้ง

ผ่านไปไม่นาน ก็มีเสียงครวญครางออกมาจากปากหลิ่วหมิง เขาลืมตาทั้งคู่ขึ้นแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง

แต่ตอนนี้ดวงตาทั้งคู่ของเขาดูงงงวยมาก และจิตใจเขาล่องลอยไปชั่วขณะหนึ่ง

ผ่านไปอีกซักพัก สติสัมปชัญญะของหลิ่วหมิงก็ฟื้นคืนกลับมา แต่ก็ต้องรู้สึกสะดุ้งโหยงขึ้นมา เขายื่นแขนทั้งสองมาสังเกตดูด้วยสีหน้าประหลาดใจ

หลังจากเขาถูกมนุษย์เกราะทองคำใช้การฝึกฝนระดับผลึกโจมตีแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้เสียชีวิตในทันทีเพราะว่ามีเกล็ดมังกรปกป้องอยู่ แต่ก็ใกล้จะไม่รอดแล้ว ขณะที่เขาตัดสินใจแกล้งตายเพื่อหลอกล่อมนุษย์เกราะทองคำให้เข้าใกล้ เพื่อใช้ตัวอ่อนกระบี่ในร่างโจมตีฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่คิดชีวิตนั้น ตาทั้งสองก็พลันมืดลง และมาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าลึกลับแห่งนั้น

ในขณะที่เขากำลังตกใจ ก็มองเห็น ‘หลิ่วหมิง’ ในห้องว่างเปล่าอีกคนลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา และยิ้มให้เขาแปลกๆ จากนั้นก็กลายเป็นเปลวเพลิงสีดำหายไปจากตรงนั้น

ด้วยเหตุนี้หลิ่วหมิงจึงรู่สึกหวาดผวาเป็นอย่างมาก

แม้เขาจะระแวงสงสัย แต่ก็ไม่อาจออกไปได้ ทำได้แต่รออยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับอย่างเงียบๆ

เขาอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับนานเจ็ดแปดวัน ในที่สุดวันนี้ห้องว่างเปล่าก็สั่นสะเทือนขึ้นมา แสงลูกกลมๆ เจ็ดสีปรากฏขึ้นในห้องว่างเปล่า ตาทั้งสองของเขามืดลงในฉับพลัน จิตรับรู้กลับเข้าไปในร่างอีกครั้ง

หลิ่วหมิงสังเกตดูร่างที่แตกต่างจากแต่ก่อนมาก ตอนนี้สีหน้าดูอึมครึมมาก

พริบตานั้นเขาก็รับรู้ได้ว่ากายเนื้อนี้แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า พอเขาค่อยๆ กำมือทั้งสองข้าง พลังที่ทำให้ใจเขารู้สึกเย็นสะท้านก็พุ่งออกมา

หลิ่วหมิงใช้พลังจิตกวาดดูทั่วร่าง พอเขารับรู้ได้ว่าร่างกายทุกส่วนแตกต่างจากเดิมเล็กน้อย ก็ยิ่งรู้สึกตกใจมากขึ้น

พอเขาดึงพลังจิตกลับมา ก็ใช้มือลูบเกราะหนังสีแดงสีเพิ่งหลอมเสร็จใหม่ๆ ตัวนั้น และจ้องมองกระบี่สั้นสีทองอร่ามกับมุกสีดำที่ใหญ่กว่าเดิมเท่าตัว และเงากระบี่สีทองที่ลอยอยู่กลางอากาศ ตอนนี้สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก

ต่อให้หลิ่วหมิงจะโง่เขลา ก็รู้ว่าก่อนหน้านั้นร่างของเขาถูกอะไรครอบครองไว้ และแปดถึงเก้าในสิบส่วนเป็นไปได้ว่าเป็น ‘ตัวเอง’ ที่หายไปจากห้องว่างเปล่าลึกลับนั้น

แต่ในเมื่อใยตรงข้ามคิดจะยึดร่างของตนเอง แล้วทำไมตนเองถึงกลับเข้าร่างได้ล่ะ! หรือว่าฝ่ายตรงข้ามยึดไม่สำเร็จ?”

และก่อนหน้าที่เขาออกไปจากห้องว่างเปล่าลึกลับนั้น พลันมีแสงลูกกลมๆ เจ็ดสีปรากฏออกมา มันคือสิ่งใดกัน? หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับ ‘ตนเอง’ คนที่สอง?

ความรู้สึกสงสัยเป็นชุดๆ นี้ ทะลักออกจากใจหลิ่วหมิง ทำให้สีหน้าเขาอึมครึมเป็นอย่างมาก ดูเหมือนเขาจะไม่ดีใจที่สามารถเอาชีวิตรอดในครั้งนี้ได้เลยแม้แต่น้อย

แต่จะว่าไปแล้ว ใครก็ตามที่รู้ว่าตนเองจะถูกอะไรบางอย่างยึดร่างได้ตลอดเวลา ก็คงจะยิ้มไม่ออกเช่นกัน

โชคดีที่เขาเป็นคนมีความตั้งใจหนักแน่นเป็นอย่างมาก แม้ว่าสิ่งที่ยึดร่างนี้จะดูแปลกประหลาด แต่ถ้ามีวิธีการรับมือก็ใช่ว่าจะไม่สามารถควบคุมมันได้ ดังนั้นเขาจึงเลิกคิดเรื่องนี้ และโบกมือไปยังสิ่งของที่อยู่บนพื้น

ลำแสงสีทองยาวจั้งกว่าๆ ม้วนตังออกจากปลายกระบี่อย่างง่ายดาย และฟันผนังถ้ำราวกับตัดเต้าหู้จนทิ้งรอยลึกๆ ไว้

“ที่แท้ก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดจริงๆ ด้วย แม้จะเป็นขั้นต่ำสุดของระดับนี้ แต่ก็ยังเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่อาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำไม่สามารถเทียบได้ แต่ดูจากที่สามารถกระตุ้นกระบี่ได้ดังใจ มันจะต้องเป็นกระบี่จันทราหยกเล่มนั้นอย่างแน่นอน คนผู้นั้นทำได้อย่างไรกันแน่? คิดไม่ถึงว่าจะสามารถยกระดับอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางไปสู่ระดับสุดยอดได้ ไม่ใช่สิ! สีทองบนนี้ก็ค่อนข้างคุ้นเคย…….นี่ไม่ใช่ทองคำหลอมเหลวหรอกหรือ?” หลิ่วหมิงพูดพึมพำกับตนเองสองสามประโยค หลังจากสังเกตดูทองคำอร่ามบนตัวกระบี่อย่างละเอียด ก็จำได้ในฉับพลันว่ามันคือสิ่งใด ตอนนี้เขารู้สึกตกตะลึงอย่างอดไม่ได้

เขาย่อมรู้ว่าทองคำหลอมเหลวมีผลต่ออาวุธจิตวิญญาณ แต่ถ้าแค่นำมันมาเป็นวัสดุห่อหุ้มกระบี่จันทราหยกล่ะก็ อย่างมาก็เพิ่มชั้นจำกัดได้หนึ่งถึงสองชั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะยกระดับเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสูง แล้วนับประสาอะไรกับอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดล่ะ

เขาใช้พลังจิตศึกษาค่ายกลอักขระที่ประทับอยู่บนนั้นอย่างละเอียด ถึงพบว่านอกจากชั้นจำกัดที่เพิ่มขึ้นมาแล้ว ค่ายกลอักขระบนนั้นล้วนคล้ายกับที่เคยประทับอยู่บนกระบี่จันทราหยกเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าถูกคนแก้ไขไปไม่น้อย

ขณะเดียวกันหลิ่วหมิงก็เข้าใจในฉับพลัน แต่ก็ยังรู้สึกตกใจอย่างช่วยไม่ได้

คนที่หลอมอาวุธได้อย่างน่าตกใจเช่นนี้ และยังแก้ไขชั้นจำกัดในอาวุธจิตวิญญาณได้ จะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธอย่างไม่ต้องสงสัย แม้กระทั่งอาจเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธระดับสุดยอดก็ได้

ประจักษ์ชัดว่า กระบี่จันทราหยกคงถูกคนที่ยึดร่างทำการปรับแต่งอีกครั้ง

หรือว่าคนที่ยึดร่างตนเอง จะเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธจริงๆ!

หลิ่วหมิงลูบเกราะหนังสีแดงบนตัวด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจมากกว่าเดิม

แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ กระบี่จิตวิญญาณระดับสุดยอดเล่มนี้ คงไม่เหมาะที่จะเรียก ‘กระบี่จันทราหยก’ อีกต่อไป เปลี่ยนชื่อเป็น ‘กระบี่จันทราทองคำ’ ถึงเหมาะสมกว่า

เขาเก็บกระบี่เล็กสีทอง และมองไปยังมุกสีดำเม็ดนั้น

มุกสีดำเม็ดนี้ นอกจากจะมีขนาดใหญ่กว่าเดิมเท่าตัวแล้ว ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก

แต่จากตัวอย่างของกระบี่เล็กสีทองในก่อนหน้า

หนังของเขาแตกร้าวอย่างรุนแรง

แต่ขณะนั้นเอง ‘หลิ่วหมิง’ พลันร้องออกมาอย่างเวทนา แสงแวววาวตรงระหว่างคิ้วดับสลายลง กระบี่เล็กสีทองในมือกับเงากระบี่หลุดจากมือพร้อมกัน ร่างของเขาสั่นสะท้านก่อนที่จะล้มลงไป

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา