“ความหมายของอาจารย์อาเยี่ยนคือ ผู้อาวุโสหยวนหมัวอาจมีสัญญาโลหิตระดับเหนือสุดยอด หรือมีสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายๆ กันอยู่ในมือ ซึ่งสามารถขจัดความกังวลของแต่ละนิกายได้!” พอประมุขนิกายปีศาจได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เฮ่อๆ! คงจะเป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นคนระดับสหายหยวนหมัวจะเสนอเรื่องนี้ได้อย่างไร ถ้าถูกแต่ละนิกายปฏิเสธล่ะก็ คงเสียหน้าแย่ ส่วนความจริงในเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรนั้น เชื่อว่างานชุมนุมนิกายในอวิ๋นชวนคราวหน้าคงได้ทราบกัน” อาจารย์อาเยี่ยนกล่าวอย่างมีแผนในใจ
ประมุขนิกายปีศาจฟังแล้วก็พยักหน้าด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
พอหลิ่วหมิงเดินออกไปจากหอศิลา ก็มีท่าทีลังเลเล็กน้อย เขาไม่ได้กลับไปที่พักทันที แต่กลับทะยานฟ้าพุ่งไปยังกลุ่มสิ่งก่อสร้างบางแห่ง
ผ่านไปไม่นาน เขาก็ร่อนลงหน้าประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิท พอสะบัดแขนเสื้อ นิ้วมือนิ้วหนึ่งก็ดีดผ่านอากาศไปยังบานประตู ก่อให้เกิดเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาอย่างชัดเจน
“หลิ่วหมิง ช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ ที่เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย แต่สองวันนี้ข้าไม่อยากพบใครทั้งสิ้น เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ!” หลังจากเงียบไปนาน ก็มีเสียงนิ่งสงบของนักพรตแซ่จงดังจากออกมา
“ทราบ! อาจารย์ ข้าก็เสียใจเรื่องอาจารย์อาจูเช่นกัน แต่ก็หวังว่าอาจารย์จะรักษาสุขภาพให้ดีๆ!”
พอได้ยินนักพรตแซ่จงกล่าวเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ไม่กล้าพูดคำปลอบใจใดๆ ออกมา เขาทำได้เพียงแค่กล่าวออกไปสองประโยค และพอเห็นว่าไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมา ก็จากไปอย่างเงียบๆ
ผ่านไปซักพัก หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวในบ้านหินของตนเอง เขาถอนหายใจยาวๆ ออกมาแล้วนั่งขัดสมาธิลงบนเบาะกลมๆ แววตาเขาเปล่งประกายครุ่นคิด และยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
แม้ตอนอยู่บนเกาะมฤตยู จะรู้ว่าผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอด แต่ความรู้สึกอ่อนแอที่เขาถูกผู้ฝึกฝนระดับผลึกอย่างลี่คุนตามฆ่าในหลายวันก่อน ทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจป็นอย่างมาก และประสบการณ์ที่เขาเกือบเสียชีวิตในเงื้อมมือของมนุษย์เกราะทองคำ ยิ่งทำให้เขาปรารถนาจะให้ตนเองแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
หลิ่วหมิงนั่งเงียบๆ อยู่ในห้องราวๆ หนึ่งชั่วยามกว่า จากนั้นถึงพลิกฝ่ามือนำกล่องหยกออกมา และเปิดฝาออก
ยันต์สีเหลืองค่อนข้างเก่า ปรากฏขึ้นตรงหน้าทันที
หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย เขาคีบยันต์ผืนนี้ออกมา และพลิกดูไปมาอย่างละเอียด
ตอนอยู่ในเทือกเขา หลิ่วหมิงได้ตรวจสอบยันต์ผืนนี้ไปรอบหนึ่งแล้ว แต่น่าเสียดายที่ต้องเร่งรีบเดินทาง จึงได้แต่มองผ่านๆ แต่ตอนนี้กลับมาถึงที่พักในเมืองยักษ์แล้ว ย่อมมีเวลาตรวจสอบมันอย่างละเอียด
ขอบยันต์ผืนนี้มีอักขระสีทองจางๆ ประทับอยู่จำนวนมาก ตรงกลางเป็นรูปคนสีทองเล็กๆ ดูราวกับมีชีวิต และดูคล้ายกับเงาร่างยักษ์ที่ปรากฏตรงหลังมนุษย์เกาะทองคำในวันนั้นมาก
พอเขาส่งพลังเวทย์เข้าไปด้านใน แสงสี ทองก็เปล่งประกายบนพื้นผิว กลิ่นไอป่าเถื่อนวังเวงแบบโบราณแผ่กระจายออกมา ทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายที่ก่อตัวขึ้น
หลิ่วหมิงรีบเก็บพลังเวทย์ด้วยความตกใจ จากนั้นยันต์สีเหลืองก็ฟื้นกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
เขาจ้องมองยันต์ผืนนี้อยู่ซักพัก พอเห็นว่ามันไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ก็ค่อยๆ ปล่อยพลังเวทย์เข้าไปอีกครั้ง
ในขณะที่กลิ่นไอป่าเถื่อนวังเวงแผ่กระจายออกมาท่ามกลางแสงสีทอง รูปมนุษย์เล็กๆ สีทองก็ค่อยๆ เลือนลางขึ้นมา
พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ขณะที่กำลังคิดจะเพิ่มพลังเวทย์เข้าไปนั้น พลันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงหันกลับไปมองทันที สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกตกใจมาก
สถานที่ห่างจากเขาไปไม่กี่ฉื่อ มีเงาร่างสวมเกราะนักรบสีทองปรากฏออกมา
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงที่คิดว่ามันเป็นมนุษย์เกราะทองคำผู้นั้น เกือบจะควักกระบี่สั้นสีทองฟันออกไป แต่พริบตาเดียวก็รู้สึกว่าเงาร่างสีทองกับมนุษย์เกราะทองคำนั้นแตกต่างกัน
มนุษย์เกราะทองคำผู้นั้นมีร่างกายกำยำไม่ต่างจากมนุษย์เลย และใบหน้าก็คล้ายกับลี่คุนมาก
แต่เงาร่างของมนุษย์เกราะทองคำตรงหน้าพร่ามัวมาก เป็นเพียงเงาร่างจางๆ เท่านั้น แต่กลับมีใบหน้าคล้ายคลึงกับเขาเจ็ดถึงแปดส่วน
ถึงเวลานี้แล้ว หลิ่วหมิงย่อมรู้ว่าเงาร่างสีทองผู้นี้ กลายร่างมาจากยันต์ในมือนั่นเอง เขาระงับความรู้สึกประหลาดใจไว้ และส่งพลังเวทย์เขาไปในยันต์ต่อ
เงาร่างพร่ามัวสีทองค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา และพอมีเสียงดัง “ฟู่!” ยันต์บนมือก็กลายเป็นจุดแสงสีทองก่อนสลายไป
ขณะเดียวกัน เงาร่างมนุษย์สีทองก็เหมือนกับมนุษย์โดยสมบูรณ์ แต่เสื้อเกราะบนตัวเปล่งแสงสีทองอร่าม และรูปร่างหน้าตาก็เหมือนกับหลิ่วหมิงไม่มีผิด
กล้ามเนื้อบนใบหน้าหลิ่วหมิงกระตุกทีหนึ่ง จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เดินวนดูมนุษย์เกราะทองคำสองรอบ และพูดกับตนเองด้วยตาที่เป็นประกาย
“ได้ยินมานานแล้วว่า ผู้มีพลังที่แท้จริงสามารถถอนถั่วให้เป็นนักรบ เขียนยันต์ให้เป็นจริงได้ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องจริง คงจะเป็นยันต์นักรบที่เล่าลือสินะ! แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า ยันต์นักรบสามารถมีสติปัญญาของตนเองได้”
พอเขากล่าวถึงจุดนี้ เขาก็ใช้พลังจิตสำรวจนักรบเกราะทองคำตรงหน้าหนึ่งรอบ ซึ่งมันมีกลิ่นไอแค่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นเท่านั้น ดวงตาทั้งคู่ซึมกระทือ ใบหน้าไร้ความรู้สึก ซึ่งไม่อาจเทียบได้กับมนุษย์เกราะทองคำที่มีสติปัญญาในก่อนหน้านั้น
“หรือว่าวิธีการกระตุ้นยันต์ไม่ถูกต้อง?”
เขาได้แต่คิดเช่นนี้แล้ว
เขาย่อมไม่รู้ว่า สิ่งของตรงหน้าไม่ใช่ยันต์นักรบทั่วไปที่เขารู้จัก แต่เป็นยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองที่มีอยู่น้อยมากบนโลกใบนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา